ฉันไม่ได้อยากกินบะหมี่หอยหวานที่สีชิงชวนทำหรอก ฉันว่ารสชาติของมันคงไม่ได้แตกต่างจากบะหมี่ที่เขาทำวันนั้นสักเท่าไหร่
ฉันแค่คิดว่าเขาอยู่ข้างๆ ฉัน แค่อยู่ใกล้ฉันแค่เพียงนิดเดียว ฉันก็จะรู้สึกหายใจได้ไม่สะดวก ฉันก็เลยหาข้ออ้างขึ้นมาข้อหนึ่งในการไล่ให้เขาออกไป
ไม่คิดว่าสีชิงชวนจะไปจริงๆ ถึงจะไปแค่ชั่วโมงเดียวก็เถอะ ฉันก็มีเวลาหนึ่งชั่วโมงที่จะได้หายใจหายคออย่างอิสระแล้ว
เฉียวอี้โทรมาหาฉัน เธอบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันก่อนไปทำงาน แต่ฉันบอกให้เธอไม่ต้องมา
จากบ้านถึงโรงพยาบาลและไปถึงเฉียวกรุ๊ปที่เมืองเฉียวมันวนห่างกันไปคนละทางจนเป็นรูปสามเหลี่ยมเลย
ปกติตอนเช้ารถก็ติดมากอยู่แล้ว ฉันบอกเธอไปว่าว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยมาเมื่อนั้น ตอนนี้ฉันสบายดีมากๆ หลังจากทานยาแก้ปวดเข้าไป ไม่รู้ว่าทำไมฤทธิ์ยาถึงอยู่ได้นานขนาดนี้ แต่ยังไงซะตอนนี้มันก็ไม่เจ็บเลยสักนิด
เฉียวอี้ถึงยอมล้มเลิกความตั้งใจ
เมื่อพยาบาลช่วยฉันจัดการล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ฉันนั่งถือกระจกอยู่บนเตียงและมองใบหน้าซีดเซียวของตัวเองที่อยู่ในนั้น
พยาบาลบอกว่าฉันเสียเลือดมาก เนื้อตรงบริเวณขาโดนแผ่นเหล็กคมๆ นั่นคว้านออกไปเล็กน้อย พูดซะฉันรู้สึกขนลุกขนพองเลย
คุณพยาบาลบอกว่าเธอมีหวีที่ใช้ดีอันหนึ่งและจะไปเอามาให้ฉัน ผมฉันพันยุ่งเหยิงไปหมดทั้งหัว
ไม่นานประตูก็เปิดออก ฉันยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมคุณพยาบาลถึงไปเอาหวีเร็วจัง แต่ฉันกลับมองเห็นศีรษะของใครบางคนโผล่พ้นช่องว่างของบานประตูและกำลังเรียกชื่อของฉันอยู่
“เซียวเซิง” เมื่อฉันเห็นชัดแล้วว่าศีรษะนั้นเป็นของใคร ฉันก็รู้สึกตกใจมาก
“สีจิ่นยวน นายขึ้นเครื่องบินกลับโรงเรียนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขาผลักประตูเข้ามา จากนั้นก็ปิดมันลงและวิ่งมาหาฉัน
เป็นเขาจริงๆ ในมือเขายังลากกระเป๋าหนังมาด้วย
“พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาเดินวนรอบเตียงฉันรอบหนึ่ง แถมยังเปิดผ้าห่มเพื่อดูขาฉันอีกต่างหาก “ทำไมถูกห่อไว้แบบนี้ล่ะ? เจ็บหนักมากเลยเหรอ? ขาหักเลยเหรอ? ต่อไปจะเดินได้ไหม?”
“นายช่วยพูดอะไรที่มันดีๆ หน่อยได้ไหม?”
“พวกเขาโกหกผม” สีจิ่นยวนถูจมูกไปมาและผลักกระเป๋าเดินทางออกไป ล้อทั้งสี่ของกระเป๋าเดินทางใบนั้นกลิ้งเสียงดังกลุกๆ จากนั้นมันก็กระแทกเข้ากับกำแพงจนกำแพงสีขาวเป็นรอย
“พวกเขาบอกว่าคุณแค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ผมไม่เชื่อ ก็บอกอยู่ว่ารถชน จะเคล็ดแค่นิดหน่อยได้ไง?” หน้าของสีจิ่นยวนแดงขึ้นพร้อมกับอารมณ์ที่กำลังอ่อนไหว
“นี่ เจ้าหนู” ฉันโบกมือไปมาให้เขา “นายนั่งลงก่อนแล้วค่อยพูด”
“อย่ามาเรียกผมว่าเจ้าหนู” เขาพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง จากนั้นก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ข้างเตียงฉัน “ผมรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น!”
“นายคงไม่ได้หนีลงมาจากเครื่องบินใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” เขาถูกฉันเปิดโปงแล้วยังได้ใจอยู่อีก “ตอนผมเปลี่ยนเครื่อง ผมซื้อตั๋วใบหนึ่งบินกลับมา พวกขาโกหกผม แล้วทำไมผมจะโกหกพวกเขาไม่ได้?”
“นายจะบินกลับมาทำไม?” ฉันอดไม่ได้ที่จะตีเขาไปครั้งหนึ่ง “ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล มีหมอมีพยาบาลดูแล นายจะกลับมาทำไม? ยังไม่รีบไปเรียนอีก นายพลาดไปหลายวิชาแล้วนะ”
“ไม่เป็นไร ผมฉลาด เดี๋ยวก็ชดได้” ความถือดีของเขาช่างเหมือนกับสีชิงชวนจริงๆ
“พี่ชายนายรู้ไหมว่านายกลับมา?” ฉันถามเขา
สีจิ่นยวนส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ก็ต้องไม่รู้สิ ถ้าบอกเขาว่าผมจะกลับมา เขาต้องเด็ดหัวผมแน่”
“เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้านายอยากรอด ก็รีบซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วบินกลับไปซะ เพราะพี่นายจะมาในอีกไม่ช้านี้แหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...