ฉันเบิกตากว้างมองเฉียวอี้ตรงหน้า รอยช้ำใหญ่ๆ บนรอบดวงตาซ้าย บริเวณแก้มกับคางก็มีแผลเช่นกัน ดูแล้วเจ็บหนักเอาเรื่อง
ฉันยืดตัวไปดึงแขนของเธอมา “ทำไมถึงต่อยแค่หน้าล่ะ?”
“ไม่ใช่แค่หน้านะ” เธอถกแขนเสื้อขึ้น “บนแขนก็มี แล้วก็ที่ขาที่ก้นด้วย”
เฉียวอี้ราวกับเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังโอ้อวดรอยแผลจากการสู้รบให้ฉันดูอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วก็ตรงนี้ๆๆ …” เธอชี้ให้ฉันดู
“เฉียวอี้” ฉันจับมือเธอไว้ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ “ทำไมเธอต้องไปสู้กับสีชิงชวนด้วย? เธอเสียเปรียบนะรู้ไหม? ดูสิ แผลเต็มตัวเลย!”
“สีชิงชวนก็บาดเจ็บเหอะ แค่เจ็บน้อยกว่าฉันแค่นั้นเอง ก็เขาตัวสูงอ่ะเลยได้เปรียบกว่า อีกอย่างกล้ามเนื้อเขาแน่นมากด้วย ฉันต่อยหน้าอกเขาไปหมัดหนึ่ง คือมันแข็งมาก แข็งแบบเขาไม่สะทกสะท้านอะไรเลย หมัดแทบจะเด้งกลับมาใส่ฉันอ่ะ”
“แล้วไปสู้กับเขาทำไม?”
“ก็เขาขี้โม้เกิน คิดว่าฉันไม่กล้าสู้กับเขาน่ะสิ”
“ก็เธอบอกเองว่าสีชิงชวนไม่ใช่ศัตรูของเธออ่ะ” ฉันตรวจดูเธออย่างละเอียด “ยังมีแผลตรงไหนอีกไหม? ไปตรวจหน่อยเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก ทุกคนต่างเต็มใจที่จะสู้กันเอง เป็นแผลนิดแผลหน่อยเป็นเรื่องปกติ แต่สีชิงชวนยังไม่ถือว่าเป็นคนจิตใจดำอะไร”
“เขาต่อยบนหน้าเธอเป็นแบบนี้แล้ว ยังไม่ใจดำอีกเหรอ?” ฉันไม่เข้าใจเฉียวอี้เลยจริงๆ เมื่อกี้ยังกัดกันอยู่เลย ทำไมพอสู้กันไปครั้งเดียวก็เข้าข้างเขาแล้วล่ะ
“เขาบอกฉันทุกครั้งว่าจะต่อยจุดไหน แบบนี้ไม่ถือว่าใจดำแล้ว”
“แล้วทำไมเธอยังเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?”
“ประเด็นคือฉันไม่เชื่อไง ฉันคิดว่าเขาหลอกฉัน” ฉันแพ้ให้กับเฉียวอี้แล้วจริงๆ แพ้ราบคาบเลยล่ะ
“เมื่อกี้ไปทำแผลมาแล้วใช่ไหม?”
“ใช่จ้า” เฉียวอี้พยักหน้า “ทำแล้ว วางใจเถอะ”
“สภาพแบบนี้ เธอจะไปทำงานที่เฉียวซื่อกรุ๊ปยังไง? จะไปเยี่ยมพ่อเฉียวยังไง?”
“วันนี้วันเสาร์ เดี๋ยววันมะรืนก็ดูไม่ออกแล้ว ส่วนพ่อฉัน แต่ก่อนฉันก็ชอบมีเรื่องกับคนอื่นอยู่แล้ว แกชินแล้วแหละ”
“เฉียวอี้ ตอนนี้เธอเป็นถึง CEO ของเฉียวซื่อกรุ๊ปแล้วนะ รู้ไหมว่าแบบนี้มันปัญญาอ่อนมาก?”
“เซียวเซิง ทุกคนมีวิธีการแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน ระหว่างฉันกับสีชิงชวนต้องแก้ด้วยหมัดเท่านั้น”
“แล้วแก้ได้ยังล่ะ?”
“แก้ได้แล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าฉันสู้เขาไม่ไหว”
ฉันมองเธออย่างหมดหวัง “คุณหนูคะ ได้โปรดสองสามวันนี้ช่วยหลบหน้าคุณแม่หน่อยนะคะ ลำพังแค่อู๋ซือเหมยก็ปวดหัวมากพอแล้ว ถ้ามาเห็นหน้าเขียวช้ำของเธอเข้าล่ะก็ ได้เป็นบ้าจริงๆ แน่ โตปานนี้แล้วยังเที่ยวไปต่อยกับคนอื่นอีก”
ถึงฉันจะดุว่าเฉียวอี้ แต่ในใจลึกๆ ฉันก็เป็นห่วงเธอมากเหมือนกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสีชิงชวนไม่ได้เรื่อง เฉียวอี้เธอชอบบ่นบลาๆ ก็เถอะ แต่เขายังจะลงมือกับเธอจริงๆ อีก
เฉียวอี้หยิบสาลี่จากกระเช้าผลไม้มาลูกหนึ่ง ถูๆ เช็ดๆ บนเสื้อผ้าก็เริ่มกัดกินทันที
เพราะมีแผลบนแก้ม แล้วเธอก็อ้าปากกว้างจึงทำให้เธอเจ็บจนร้องซี๊ด
ฉันมองเธออย่างทอดถอนใจ แล้วแย่งสาลี่บนมือเธอมาปอกเปลือก จากนั้นค่อยหั่นเป็นชิ้นป้อนเข้าปากเธอ
เธอยิ้มตาหยี่ “เซียวเซิงดีกับเค้าที่สุดเยย”
“ถุย!” ฉันแทบจะถ่มน้ำลายใส่เธอ “อย่าให้ฉันต้องเป็นห่วงมากได้ไหม?”
เฉียวอี้กินสาลี่เสร็จอยากกินแตงโมต่อ เธออุ้มลูกแตงโมพลางตามหามีดปอกผลไม้ที่ใหญ่กว่า
ดูจากท่าทีของเธอแล้ว ฉันรู้สึกไม่ไว้ใจเลยจริงๆ รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องยังไงไม่รู้
ตอนนี้ทั้งพ่อเฉียวกับแม่เฉียวต่างก็วุ่นวายจนหัวหมุนแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเฉียวอี้
ฉันคิดแล้วโทรศัพท์หาเฉียวเจี้ยนฉี ถึงแม้เขาจะไม่ถูกกับเฉียวอี้ แต่ดูจากภายนอก ฉันรู้สึกว่าเฉียวเจี้ยนฉีไม่ใช่คนใจดำอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...