ซุปปลาโครกเกอร์ของเฉียวเจี้ยนฉีถูกปากทุกคนมาก โดยเฉพาะตอนที่เชฟใหญ่ของตระกูลสีรู้ว่า ร้านในเครือที่ต่างประเทศของเฉียวเจี้ยนฉีคือแบรนด์ที่ดังมากก็ยิ่งรู้สึกนับถือเขายิ่งขึ้นไปอีก
“ผมก็คิดว่าคนต่างชาติจะทำได้แค่แฮมเบอร์เกอร์หรือสเต๊กซะอีก” เชฟใหญ่ยังถือถ้วยด้วยความไม่หายอยาก
“ผมไม่ใช่ต่างสักหน่อย ผมเป็นคนจีนที่ท้องถิ่นครับ แค่เปิดร้านอาหารอยู่ที่ต่างประเทศ”
คืนนี้เหมือนคุณย่าจะทานไปแค่ซุปปลา ไม่ได้ทานอย่างอื่นเลย
ท่านวางถ้วย ตะเกียบ และช้อนลงด้วยสีหน้าที่ยังคงความดูถูก “คุณไม่ต้องทำท่าทางเหมือนคนบ้านนอกคอกนาที่ไม่เคยผ่านโลกมาก่อนหรอก เขาเป็นเชฟ คุณก็เป็นเชฟเหมือนกัน ถือหน่อยได้ไหม?”
คุณย่ายังปากแข็งอยู่เหมือนเดิม ตอนที่ทานซุปปลาโครกเกอร์ก็ไม่เห็นว่าท่านจะพลาดเลยแม้แต่คำเดียว
ท่านมองว่าเฉียวเจี้ยนฉีเป็นศัตรูหัวใจของสีชิงชวน แม้แต่ตัวสีชิงชวนเองยังไม่คิดแบบนี้เลย
อีกอย่าง ถ้าเฉียวเจี้ยนฉีเป็นศัตรูหัวใจของสีชิงชวน นั่นมันไม่ดูอ่อนแอไปหน่อยเหรอ?
เฉียวเจี้ยนฉีช่วยฉันปอกกุ้ง เขาไม่ใช่มือปอกกุ้ง แต่ใช้แค่ส้อมเพียงคันเดียวดึงเปลือกกุ้งข้อที่สามจากทางหางกุ้งออกมา จากนั้นกุ้งก็หลุดออกจากเปลือกอย่างง่ายดาย
เขาปอกเปลือกกุ้งเสร็จก็วางมันไว้ในจานให้ฉัน แต่มันกลับถูกคุณย่าแย่งไปก่อน
“ทำดีหวังผล” คุณย่าพูด “ถ้าเสี่ยวเซิงเซิงของพวกเราอยากกินกุ้ง เดี๋ยวป้าที่บ้านก็ปอกให้เอง คุณดูแลตัวเองเถอะ!”
“ในห้าวินาทีที่เปลือกกุ้งหลุดออกจากเนื้อกุ้ง รสชาติที่ทานเข้าไปคือรสชาติที่อร่อยที่สุดครับ และถ้าปอกเปลือกกุ้งนานแล้วเนื้อกุ้งสัมผัสกับอากาศ ก็จะทำให้เนื้อมันไม่แน่นครับ ไม่เหนียวนุ่มเหมือนเดิม”
เฉียวเจี้ยนฉีใช้ส้อมปอกเปลือกกุ้งต่อ เขาปอกกุ้งหนึ่งตัวเสร็จได้ภายในสองถึงสามวินาที จากนั้นก็โยนลงจานฉันอย่างแม่นยำ
ฉันกลัวว่าคุณย่าจะโกรธ จึงคีบกุ้งในชามของฉันตัวนั้นใส่ในชามของคุณย่า “คุณย่าชิมกุ้งที่ปอกเสร็จภายในสองวิฯ ดูสิคะ”
คุณย่าบอกว่าฉันเป็นเด็กดี จากนั้นก็เอากุ้งตัวนั้นเข้าปากและเคี้ยวหมุบหมับ “ฉันก็ไม่ได้คิดว่ารสชาติกุ้งที่ปอกเสร็จภายในสามวิฯ นี่จะอร่อยขนาดนั้นนะ?”
เฉียวเจี้ยนฉีที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันมองฉันอย่างลึกซึ้ง ทำให้ฉันทานไม่ค่อยรู้รสสักเท่าไหร่
คุณย่าใช้ตะเกียบของท่านเคาะชามของเฉียวเจี้ยนฉี “กินข้าวหรือมองคน?”
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วคุณย่าก็ต้องการพักผ่อนเล็กน้อย แต่ท่านยังไม่วางใจจึงให้พี่สี่จับตาดูพวกเราอยู่ที่ห้องรับแขก
เฉียวเจี้ยนฉีเสนอให้ฉันพาเขาไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ของบ้านตระกูลสี
สวนดอกไม้ของบ้านตระกูลสีมีห้องเพาะเลี้ยงดอกไม้อยู่แห่งหนึ่ง ด้านในมีดอกไม้หายากหลากหลายชนิดที่โดดเด่นสวยงามไม่แพ้กัน
ฉันจึงพาเฉียวเจี้ยนฉีไปเดินเล่นด้านในและพาเขาไปดูดอกกล้วยไม้ต้นนึ่งที่มีมูลค่ากว่าสองล้าน
กล้วยไม้กระถางนั้นมีใบไม่มาก และยังออกดอกเพียงแค่ดอกเดียว ดูโกร๋นไม่มีใบและคล้ายกับไก่หัวล้านนิดหน่อย
ฉันชื่นชมความงามของมันไม่ออกว่ามันสวยตรงไหน
ฉันแนะนำให้เฉียวเจี้ยนฉีฟัง “กล้วยไม้ชนิดนี้เป็นทรัพย์สมบัติแห่งหมู่ดอกไม้ ราคาแพงหูฉี่ เพราะมันเลี้ยงยาก เพราะฉะนั้นมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะซื้อได้”
เฉียวเจี้ยนฉีมองมันแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ามหาฉัน “คุณรู้ไหมว่าทำไมมันถึงแพง?”
ฉันมองเขาอย่างรอคำตอบ
เขาบอก “เพราะกล้วยไม้ออกดอกยากมาก แล้วก็เลี้ยงยากมากด้วย ไม่ได้เป็นสายพันธุ์ที่แปลกอะไรหรอก แต่เพราะสายพันธุ์นี้มันเลี้ยงยากน่ะ ก็เลยกลายเป็นมีค่าขึ้นมา ก็เหมือนกับดอกถานฮวา มันบานแค่ชั่วข้ามคืน ใครๆ ต่างก็แก่งแย่งพากันไปชม มันไม่ใช่เพราะว่าดอกถานฮวาสวยมากหรอก แต่เพราะมันบานแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ต่างหาก”
เฉียวเจี้ยนฉีพูดยาวเหยียดราวกับกำลังพูดคำพูดที่แฝงความนัย ฉันยื่นมือออกไปลูบใบของกล้วยไม้ต้นนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่เฉียวเจี้ยนฉีกลับดึงมือฉันออก “อย่าลูบ กล้วยไม้มันเปราะบาง อุณหภูมิในมือคนจะทำให้ใบมันเหลืองแล้วก็เฉานะ”
ฉันตกใจและรับชักมือกลับทันที “จริงเหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...