เวลาสีชิงชวนเดินไปไหนมาไหนจะไม่ค่อยมีเสียงอยู่แล้ว ดังนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่
เขากลับมาได้ไง สิ่งแรกที่ฉันคิดก็คือคุณย่าโทรไปหาเขา บอกว่าเฉียวเจี้ยนฉีอยู่ที่บ้านตระกูลสี สีชิงชวนก็เลยกลับมา
จริงๆ เขาไม่ต้องกังวลอะไรเลยด้วยซ้ำ ในบ้านตระกูลสีมีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ ฉันคงไม่สวมเขาให้เขาต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้หรอก
แต่ว่าฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อย ฉันกลัวว่าสีชิงชวนจะหุนหันพลันแล่นขึ้นมา ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่สามารถจัดการได้
ฉันเกือบจะบอกให้เฉียวเจี้ยนฉีรีบหนีไปอยู่แล้ว แต่เขากลับก้าวไปข้างหน้าและยื่นมือไปให้สีชิงชวน “สวัสดีครับ”
สีหน้าสีชิงชวนราบเรียบ แม้แต่คิ้วก็ไม่ขยับเลยสักนิด เหมือนกับมองไม่เห็นว่าเฉียวเจี้ยนฉียื่นมือมาให้เขาอย่างนั้นแหละ สายตาเขามองผ่านเฉียวเจี้ยนฉีมาและถามฉัน “เขามาอยู่นี่ได้ไง?”
“บังเอิญเจอกันที่เฉียวกรุ๊ปน่ะ ก็เลยกลับมากินข้าวด้วยกัน”
“ตอนนี้กินเสร็จแล้วใช่ไหม?” สีชิงชวนเดินเข้ามาโอบไหล่ฉันไว้ “งั้นก็ให้พี่สี่ส่งแขกเถอะ!”
จากนั้นเขาก็พาฉันเดินมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์
“ทิ้งแขกไว้แบบนี้ มันจะดู…”
“แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่ถือว่าเป็นแขก” สีชิงชวนไม่หันกลับไปมองเลยสักนิด
ฉันหันกลับไปมองเฉียวเจี้ยนฉีแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงยื่นมือออกโบกให้เขาเท่านั้น
เฉียวเจี้ยนฉีที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ยิ้มและโบกมือให้ฉันเช่นกัน
“สีชิงชวน ยังไงเฉียวเจี้ยนฉีก็เป็นพี่ชายของเฉียวอี้นะ”
“ก็แค่พี่ชายต่างแม่ อีกอย่างพวกเขาสองคนไม่ลงรอยกันด้วยซ้ำ”
เมื่อพูดถึงเฉียวอี้ ฉันก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที เธอบอกว่าเสร็จธุระแล้วจะโทรหาฉัน ดูเวลาตอนนี้ก็น่าจะทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว น่าจะมีเวลาว่างได้แล้วนะ
พี่สี่ไปส่งเฉียวเจี้ยนฉีแล้ว ฉันล้วงโทรศัพท์ออกมาดูไม่หยุด
“เป็นไง? คุณกำลังรอสายสำคัญคนไหนอยู่เหรอ?”
“จากเฉียวอี้” สติฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“สายจากเฉียวอี้สำคัญกับคุณขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ต้องอธิบายด้วยเหรอ? เหมือนจะไม่ต้องมั้ง!
ในเมื่อกลับมาแล้ว งั้นฉันก็ขึ้นไปนอนชั้นบน ฉินกวนโทรเข้ามาหาฉันและบอกว่าพอจะสืบได้เรื่องนิดหน่อยแล้ว
ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ไปฟังที่หน้าต่างทันที ฉินกวนบอกว่าชายอ้วนๆ คนนั้นเป็นหัวหน้าแผนกของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของเซียวซื่อกรุ๊ป ปกติจะเป็นคนที่ชอบทำตัวประจบสอพลอคนอื่นมาก
เขาไปเอาคีย์การ์ดที่แผนกต้อนรับในเวลาหกโมงเย็น ในกล้องวงจรปิดเห็นว่าเซียวซือไม่ได้พูดคุยกับเขาตรงๆ การคุยผ่านโทรศัพท์น่าจะเป็นเรื่องจริง
จากนั้นฉินกวนจึงตัดสินคดี “จริงๆ คุณไม่ต้องสืบให้มันชัดเจนกว่านี้หรอก เรื่องมันชัดเจนแล้ว ต่อให้เซียวซือจะไม่ใช่ตัวการ งั้นตัวการก็ต้องเป็นแม่เลี้ยงคุณแน่นอน เซียวซือก็ทำหน้าที่เป็นคนกลาง เรื่องทั้งหมดนี้เซียวซือก็มีส่วนร่วมด้วย”
ความจริงฉันน่าจะเดาได้เหตุการณ์ตอนนี้ได้นานแล้ว ถ้าเซียวซือไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ เธอต้องดึงตัวเองออกมาจนสะอาดหมดจดแน่ๆ
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้หญิงฉลาดๆ แบบเธอไม่มีทางนิ่งเงียบแน่นอน หัวใจฉันเหมือนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งในทันที และมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก
เฉียวอี้บอกฉันอยู่ตลอดว่าเซียวซือเป็นผู้หญิงแอ๊บใสและร้ายลึกมากๆ คนหนึ่ง แต่ฉันไม่เคยเชื่อเธอ
เพราะหลายปีมานี้ไม่ว่าเซียวหลิงหลิงจะทำให้ฉันรู้สึกลำบากใจยังไง เซียวซือก็ไม่เคยรังแกฉันเลยสักครั้ง
แต่พอถึงตอนนี้ เมื่อกลับมาคิดๆ ดูแล้ว เซียวซือก็ไม่เคยช่วยฉันเลยสักครั้งเหมือนกัน
ครั้งก่อนตอนที่ฉันอยู่ในงานเลี้ยง เซียวหลิงหลิงตัดชุดตรงเอวด้านหลังฉันขาดด้วยกรรไกรผ่าตัด ตอนนั้นเซียวซือเองก็อยู่ข้างๆ เธอทำเพียงแค่มองฉันแวบเดียว จากนั้นก็เดินออกไป ฉันไม่เจอเธออีกทั้งคืน ฉันต้องกำชุดที่เอวด้านหลังอยู่อย่างนั้นจนจบงานวันเกิด
ผ่านไปนานฉันถึงรู้สึกได้ว่าความรู้สึกนั้นของฉันน่าจะเรียกว่าความผิดหวัง ในใจฉันคิดว่าเซียวซือเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นฉันที่มองผิดไป
ดังนั้นความรู้สึกหดหู่แบบนี้น่าจะเรียกว่าผิดหวัง
“เซียวเซิง” ฉินกวนเรียกชื่อฉันเบาๆ ผ่านมาตามสาย
“ฮะ…” ฉันตอบ “ฉันฟังอยู่”
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...