สีชิงชวนเดินมาตรงหน้ารถของพวกเรา เฉียวอี้รีบกดล็อกรถเอาไว้
แต่จู่ๆ ก็มองไม่เห็นเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะหายวาบไปในทันที
ฉันกับเฉียวอี้มองหน้ากัน พอหันกลับไปก็เห็นสีชิงชวนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันตกใจเล็กน้อย
ในมือของเขาถือก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่งและง้างขึ้นไปกลางอากาศ ดูเหมือนกับว่าถ้าเฉียวอี้ไม่ยอมเปิดประตูเขาจะทุบกระจกรถ
เฉียวอี้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย “เขาทุบไม่แตกหรอก นี่มันกระจกกันกระสุน”
เพียงแต่น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
“เปิดเถอะ” ฉันเอ่ย “นี่เป็นรถของพ่อเธอนะ ถ้าถูกทำพังขึ้นมาจะแก้ตัวอย่างไร”
“รถของพ่อฉันมีเยอะ เขาไม่สนใจคันนี้หรอก”
พอเฉียวอี้พูดจบแล้ว ก้อนหินในมือของสีชิงชวนก็ทุบลงมาที่กระจก เขาใช้ปลายแหลมของก้อนหิน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้กระจกแตก แต่พอสีชิงชวนทุบลงมาครั้งที่สองมันก็เกือบจะแตกแล้ว
เฉียวอี้กัดฟันและปลดล็อกเปิดกระจกลง “สีชิงชวน นายทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ลงจากรถ” เขายืนอยู่ตรงหน้ากระจกรถและเอ่ยอย่างเย็นชา
ฉันรู้ดีว่าเขาจะให้ฉันลงจากรถ เฉียวอี้จับมือฉันเอาไว้ “ถ้านายมีปัญญาก็มาสิ”
“คุณเป็นภรรยาผมเหรอ?” เขาหัวเราะอย่างเย็นชา
ฉันส่ายหน้ากับเฉียวอี้ “เธอไปก่อนเถอะ”
“ไม่”
“เขาไม่บีบคอฉันตายหรอกน่า”
“นั่นก็พูดยาก”
“ลงจากรถ!” สีชิงชวนขึ้นเสียงสูง หลังจากที่แต่งงานกับเขามาแล้วครึ่งปี ถึงแม้ว่าหลายวันมานี้จะค่อนข้างใกล้ชิดกันขึ้นมาบ้าง แต่ฉันกลับไม่เข้าใจเขาเลยสักนิด เวลาที่เขาโกรธมักไม่ร้องตะโกนเสียงดังเหมือนเพื่อร่วมชาติไต้หวัน แต่การขึ้นเสียงสูงเล็กน้อยนั้นแสดงออกให้เห็นแล้วว่าเขาโกรธจนทนไม่ไหว
ฉันดึงมือออกจากเฉียวอี้และตบลงบนหลังมือของเธอเบาๆ “เธอไปก่อนเถอะ แล้วฉันจะติดต่อเธอกลับไป”
ฉันลงจากรถ ครั้นในตอนที่จะหันกลับไปโบกมือให้เฉียวอี้กลับถูกสีชิงชวนดึงข้อมือไปยังมุมหนึ่งของที่จอดรถ
เขาบีบแน่นจนฉันเจ็บไปหมด ถึงขนาดที่น้ำตาแทบจะไหลออกมา
เพียงแต่ฉันอดกลั้นเอาไว้ เขาลากฉันมาตลอดทางจนถึงมุมหนึ่งที่โรงจอดรถ เขาก้มลงมามองดูฉันจากมุมสูง “มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือคุณตามเพื่อนซี้ไร้สมองของคุณมาตามจับชู้ สองคือคุณยุยงให้เพื่อนซี้ไร้สมองของคุณมาตามจับชู้ด้วยกัน”
ฉันรีบครุ่นคิดอยู่สักพักและพบว่าเรื่องของบุคคลทั้งสองอย่างนี้ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด มันอยู่ที่คนริเริ่มต่างหากที่จะสามารถเปลี่ยนมันได้
“ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้า
“ความเป็นไปได้สองทาง” น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะของฉัน “หนึ่งคือคุณต้องการจะแสดงอำนาจกับผม ต้องการกุมจุดอ่อนของผมเอาไว้ สองคือคุณต้องการแสดงภาพลักษณ์ของภรรยาเพื่อให้ตำแหน่งของตัวเองมั่นคง”
รวดเร็วดีจริงๆ เขาวิเคราะห์อย่างละเอียดขนาดนี้ ฉันยังจะพูดอะไรได้อีก?
ฉันแอบลูบที่ข้อมือเบาๆ เมื่อครู่นี้ถูกเขาบีบจนเจ็บจะตายอยู่แล้ว
“ความเป็นไปได้สองทาง” เขาพูดขึ้นมาอีกแล้ว “หนึ่งคือคุณใช้ประโยชน์จากเพื่อนสนิทของคุณ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนออกความคิดเห็น แต่ความจริงแล้วเธอถูกบีบบังคับ สองคือคุณเป็นคนโง่ที่ยอมเชื่อฟังคนโง่อีกคนหนึ่ง”
ฉันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะวิเคราะห์ได้แล้วว่าฉันจะมีชีวิตอย่างไรในครึ่งปีหลังของชีวิต สมควรเรียกเขาว่าสีครึ่งเทพจริงๆ
ดังนั้นในเวลานี้ฉันจึงเลือกที่จะเงียบ เพราะต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
สายตาของเขาแผดร้อนมาก ร้อนจนฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...