ยังดีที่ร้านอาหารยุคนี้ใช้การสแกนสั่งอาหารกันหมด ฉันไม่ต้องตะโกนเรียกพนักงานด้วยเสียงดังๆ ให้มารับออเดอร์อีกแล้ว สาวๆ โต๊ะข้างๆ จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงฉันเข้า ถ้าเกิดพวกเธอหันกลับมาแล้วเราได้สบตากัน แบบนั้นก็คงวางตัวไม่ถูกกันไปหมด
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงก้มหน้าสั่งอาหารเงียบๆ สีชิงชวนยกมือขึ้นเท้าคางโดยการประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เขาวางศีรษะลงบนนั้นและมองฉันอยู่ตลอดเวลา
ฉันถามเขาเบาๆ “คุณจะกินอะไร? กินไส้หมูไหม?”
เขาไม่ทานเครื่องใน แต่ว่าช่วงนี้ดูเหมือนฉันจะค่อยๆ ลบนิสัยพวกนี้ของเขาไปได้แล้ว
ฉันแค่ถามเขาไปตามมารยาทนิดหน่อย จากนั้นก็สั่งอาหารต่อ
เมื่อฉันสั่งอาหารเสร็จ เขาก็ยังมองฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันจึงถอนหายใจออกไป “มีอะไรคุณก็พูดมาตรงๆ เถอะ!”
“เมื่อกี้พวกเธอพูดถูกอยู่ประโยคหนึ่ง คุณรู้ไหมว่าประโยคไหน?”
ฉันอยากจะพูดออกไปมากเลยว่า ‘คุณเดาสิ’ แต่ฉันไม่กล้า
ฉันครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนและเลือกพูดประโยคที่ทิ่มแทงใจฉันมากที่สุดออกมา “พวกเธอบอกว่าฉันไร้ความสามารถ อ่อนแอ แต่คนที่น่าสงสารก็ต้องมีสิ่งที่ทำให้คนเกลียด”
“พูดได้ไม่ครบเท่าไหร่ ผมเพิ่มให้เอง ทำไมคุณถึงมอบงานทั้งหมดของคุณให้เซียวซือ แล้วก็เพิ่งรถชนมา ขาก็หัก น่าสงสารขนาดนี้ทำไมพวกเธอถึงยังลงมือกับคุณ? ก็เพราะคุณอ่อนแอแล้วก็ขี้ขลาด ต่อให้คุณถูกพวกเธอทำร้าย ก็ทำอะไรพวกเธอไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเธอก็เลยไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง คุณน่าจะรู้จักสำนวนที่ว่า ‘ตีหัวหมา ด่าแม่เจ็ก’ ใช่ไหม?”
“งั้นก็หมายความว่า ฉันไปกระตุ้นต่อมชั่วร้ายของพวกเขาเข้าเหรอ?”
“จะเข้าใจว่างั้นก็ได้”
ฉันหิวจนสมองขาดออกซิเจนและคิดอะไรไม่ออก ฉันจึงรออาหารของฉันให้มาเสิร์ฟอย่างใจจดใจจ่อ
พูดจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันถูกล้อมรอบโจมตีทั้งหน้าทั้งหลังขนาดนี้แล้ว ยังมีกะจิตกะใจจะกินอีก ใจฉันชักจะกว้างมากขึ้นไปทุกทีๆ แล้ว
สีชิงชวนไม่ชอบเครื่องใน แต่ฉันจงใจสั่งมันมาเยอะๆ เพราะถ้าเทียบกับเนื้อแล้ว เครื่องในมันอร่อยมากจริงๆ
สีชิงชวนมองท่าทางฉันทานเงียบๆ “ในที่สุดคุณก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชอบอะไรบางอย่าง ไม่ง่ายเลยนะ”
ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังชมฉันหรือว่ากำลังเย้ยหยันฉันกันแน่
ฉันลวกผ้าขี้ริ้วชิ้นหนึ่งและเอาไปใส่ในถ้วยของสีชิงชวน “จิ้มอันนี้กินกับน้ำจิ้มผงสิ อร่อยเหาะ”
เขาไม่กิน แต่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องวันนี้คุณคิดจะแก้มันยังไง?”
“เดี๋ยวค่อยถามเฉียวอี้” ฉันโพล่งออกมา จากนั้นฉันก็เห็นว่าหน้าเขาตึงขึ้นมาทันที
เขาต้องด่าฉันแน่ๆ ว่าเอาแต่หวังพึ่งเฉียวอี้ไปซะทุกเรื่อง งั้นใครให้เขาเป็นคนที่หวังพึ่งไม่ได้กันล่ะ?
ฉันไม่หวังพึ่งเฉียวอี้แล้วฉันจะไปหวังพึ่งใครได้ล่ะ?
“แล้วถ้าเฉียวอี้ไม่ช่วยคุณล่ะ คุณคิดจะทำยังไง?”
“เฉียวอี้ต้องช่วยฉันแน่ เราสองคนสนิทกันมาตั้งนาน”
สีชิงชวนบอกฉันด้วยความมั่นใจ “เธอไม่ช่วยคุณหรอก”
ฉันเคี้ยวผ้าขี้ริ้วกรอบๆ ตอนที่ฉันหิวมากๆ สมองฉันจะแล่นช้า เหมือนกับเครื่องจักรที่ไม่มีน้ำมันหล่อลื่นเครื่องหนึ่งที่หมุนไม่ไป
เรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรให้น่าถกเถียงกันหรอก รอดึกๆ ฉันกลับไปโทรหาเฉียวอี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือไง
สีชิงชวนไม่ได้เจริญอาหารเท่าฉัน เขาแทบจะไม่ได้ทานเลยสักคำ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาโน้มน้าวให้เขาทาน มัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำให้ตัวเองทานอิ่มก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อพวกเราทานเสร็จ สาวๆ โต๊ะข้างๆ ก็ยังไม่เห็นว่าคนที่พวกเธอนั่งนินทาอยู่ตลอดเวลานั้นนั่งอยู่ข้างๆ เธอนี่เอง
ความจริงประเด็นหลักในหัวข้อสนทนาของพวกเธอก็คือฉันคนนี้เอง พูดไปพูดมา มันก็วนเวียนอยู่แค่ที่ฉันนี่แหละ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...