ฉันยืนเงียบไม่พูดอะไรอยู่หน้าเตียงของเฉียวอี้ ฉันนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าระหว่างพวกเราสองคนมันจะแก้ไม่ตกเพราะการทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
ฉันคิดว่าแค่ฉันอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็พอแล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้วถึงฉันจะอธิบายไปชัดเจนขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ดูเหมือนเฉียวอี้จะยังไม่ยอมยกโทษให้ฉัน
“เฉียวอี้...” ฉันยังอยากพูดอะไรกับเธอมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่อยากฟังแล้ว “เซียวเซิง เธอกลับไปเถอะ งานของฉันในตอนนี้มันกดดันมากๆ เรื่องพวกนั้นของเธอไม่มีค่าพอให้มาพูดกับฉัน”
“งั้นเธอพักผ่อนก่อนเถอะ เฉียวอี้ พรุ่งนี้ฉันจะโทรหาเธอนะ”
เธอมุดตัวเงียบอยู่ใต้ผ้าห่ม ฉันมองเธอที่อยู่ใต้ผ้าห่มสักพัก จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไปทางประตูช้าๆ
ในตอนที่กำลังจะเปิดประตู ฉันก็ได้ยินเธอพูดกับฉันว่า “เซียวเซิง ฉันว่าช่วงนี้เธออย่าโทรหาฉันเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ฉันคอยเช็ดก้นให้เธอมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ตอนนี้ในตอนที่ฉันเองก็ยับเยินเหมือนกัน เธอช่วยปล่อยฉันไปได้ไหม? ”
“เฉียวอี้ เธอเบื่อกันแล้วเหรอ? ” ฉันจับลูกบิดประตูเอาไว้ และถามออกไปอย่างอ่อนแรง
“ใช่ รำคาญแล้ว เบื่อแล้ว เหนื่อยแล้ว” แม้ว่าเสียงของเธอจะไม่ชัดเหมือนเวลาพูดปกติเพราะอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่ฉันกลับฟังความรำคาญและความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงของเธอออก
ขืนอยู่แบบนี้ต่อไปอีกก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว และฉันก็รู้ว่าจะทำยังไงให้คนอื่นไม่รำคาญ
ฉันหันกลับไปมองเฉียวอี้ ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มดูเหมือนคนแปลกหน้า
เธอหมดความอดทนกับฉันแล้ว ส่วนฉันเองก็ไม่ได้เชื่อในตัวเฉียวอี้ร้อยเปอร์เซ็นต์และคิดว่ามิตรภาพระหว่างพวกเราสองคนจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวกับฉินกวน แต่จริงๆ แล้วเหมือนมันจะไม่เกี่ยวกับเขาเลย
ฉันรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าการเข้าใจผิดกันของฉันกับเฉียวอี้ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่จงใจทำให้เกิดขึ้น เป็นเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว เป็นเรื่องที่ไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้น
ฉันนออกมาจากห้องของเฉียวอี้ด้วยสภาพหน้าม่อยคอตก สีชิงชวนรอฉันอยู่ที่ห้องรับแขกด้านล่าง อาสะใภ้สี่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเขาด้วยความตื่นตระหนกกระวนกระวายใจ และเติมชาให้เขาแก้วแล้วแก้วเล่า
เมื่อเขาเห็นฉันลงมา เขาก็เดินเข้ามาหาฉัน คาดว่าสีหน้าของฉันคงจะน่ากลัวมาก เขาถึงได้จับแขนของฉันไว้
“คุณจะไม่เป็นลมล้มไปใช่ไหม! ”
ถึงฉันจะเป็นคนขี้ขลาดมากๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเปราะบางอ่อนแอ แม้ว่าฉันจะเสียใจมาก จนถึงกับรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่จะเป็นลมล้มลงไปเอาดื้อๆ ขนาดนั้น
ฉันบอกลาอาสะใภ้สี่จากนั้นก็เดินออกมา
ฉันไม่เคยรู้สึกหมดแรงขนาดนี้มาก่อนเลย หมดแรงจนไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรกับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
ฉันเดินขึ้นไปบนรถของสีชิงชวน แต่ผ่านไปนานมากเขาก็ยังไม่ขับรถออกไปสักทีและหันมามองฉัน
“ยังไม่ออกรถอีกเหรอ? ” ฉันเอ่ยอย่างเนือยๆ หลังจากนั้นเขาจึงขับรถออกไป และไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฉันหวังว่าเขาจะไม่พูดอะไรออกมา และทำเพียงขับรถไปเงียบๆ เพราะเดิมทีฉันก็ถูกโจมตีมาหนักแล้ว ถ้าเขาพูดอีกฉันก็จะถูกโจมตีหนักยิ่งกว่าเดิม
แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันหวังไว้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเงียบไปตลอด ทันทีที่รถขับออกจากบ้านของเฉียวอี้ สีชิงชวนก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ครั้งนี้ผู้ช่วยชีวิตของคุณไม่ช่วยคุณ งั้นเรื่องพรุ่งนี้คุณต้องเผชิญหน้าคนเดียวแล้วล่ะ”
“ฉันไม่ได้มาหาเฉียวอี้เพื่อขอให้เธอช่วยบังลมบังฝนให้ฉัน” แม้ว่าฉันจะไม่อยากอธิบายกับเขา แต่ฉันก็ต้องอธิบายให้ชัดเจน
“งั้นเหรอ? ” สีชิงชวนยิ้มอย่างลึกล้ำ “ตลอดเวลาที่ผ่านมา สำหรับคุณแล้วบทบาทของเฉียวอี้ก็เป็นแค่โล่กำบังงั้นเหรอ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...