งั้นตอนนี้ควรทำอย่างไร? ฉันสับสนมึนงงไปหมดแล้ว
“อย่างไรก็ตามการผ่าตัดเปิดกะโหลกนั้นคือเรื่องใหญ่ จะต้องแจ้งกับผู้ป่วยสักหน่อย จากนั้นพวกเราจะเตรียมการผ่าตัดหล่อนให้เร็วที่สุด!”
ในเมื่อหมอได้กล่าวถึงเรื่องการผ่าตัด เช่นนั้นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก ไม่อย่างนั้น แม่เลี้ยงแกล้งป่วยแถมยังสามารถแกล้งผ่าตัดเปิดกะโหลกให้กับตัวเองด้วยงั้นหรือ?
เรื่องราวนี้ดำเนินไปในทิศทางที่ทำให้ฉันรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ฉันและหร่วนหลิงเดินออกจากห้องทำงานของหมอ พวกเราทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตูห้องอย่างโง่เขลา สบสายตากันและกันเป็นเวลาเนิ่นนาน
“ทำไมความหมายนั้นค่อนข้างเกินความคาดหวังไปหน่อย?” หร่วนหลิงกล่าว
“การอุปมาของคุณนั้นดูจะไม่เหมาะสมสักเท่าไรนัก”
“ราวกับคุณกำลังกล่าวว่าสรุปแล้วนี่คือเรื่องจริงหรือว่าโกหกกันแน่? หมอคนนั้นสมรู้ร่วมคิดกับหล่อนหรือเปล่า?”
“ฉันแค่รู้สึกน่ะ เพราะว่าหมอคนนั้นดูมีอำนาจและบารมีเป็นอย่างมาก เขาคงไม่ผิดจรรยาบรรณขนาดนั้นหรอก”
“มีจรรยาบรรณไปเพื่ออะไร? กินได้หรือว่าดื่มได้งั้นเหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องราวมันจะบังเอิญขนาดนั้น”
แต่ทว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้นั้นก็มีเรื่องที่บังเอิญเป็นอย่างมาก หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ?
ฉันและหร่วนหลิงเดินมาถึงห้องพักผู้ป่วยของแม่เลี้ยง หล่อนยังคงนอนอยู่อย่างนั้น
ฉันเดินไปถามพยาบาลว่าอาการของหล่อนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง พยาบาลบอกกับฉันว่าหล่อนยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่น แต่สัญญาณชีพของหล่อนยังคงที่และเป็นปกติ
หร่วนหลิงแสดงท่าทางหยามเหยียดเป็นอย่างมาก “เสแสร้งตั้งแต่แรก”
ฉันยืนอยู่ข้างเตียงแม่เลี้ยง การที่คนคนหนึ่งหมดสติหรือว่าเสแสร้งแกล้งทำนั้นอย่างไรก็สามารถมองออก
เปลือกตาของเธอขยับเล็กน้อย มีร่องรอยของลูกตากำลังเกลือกกลิ้งอยู่ภายใต้เปลือกตา
ฉินคิดว่าอาการหมดสติครั้งนี้เป็นเรื่องโกหก แต่ฉินคิดว่าอาการป่วยของหล่อนนั้นเป็นเรื่องจริง
อาจเป็นเพราะว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้นั้นช่างบังเอิญ แม่เลี้ยงแสร้งป่วย แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อได้ไปทำการตรวจสุขภาพแล้วกลับตรวจพบอาการผิดปกติ
คาดว่าต่อให้หมอบอกความจริงกับหล่อน ตัวหล่อนก็ยังคงคิดว่าเป็นเรื่องโกหก
ฉันให้หร่วนหลิงกลับไปก่อน ฉันนั่งลงข้างเตียงแม่เลี้ยงและคอยเฝ้าดูหล่อน
ทันทีที่ฉันนั่งลง พยาบาลก็เดินเข้ามาบอกกับฉัน “คุณเซียวคะ ผู้ป่วยต้องการพักผ่อน คุณไม่สามารถอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วยได้นะคะ”
“ฉันก็ไม่ได้รบกวนการพักผ่อนของเธอนี่คะ คุณน้ายังคงหมดสติอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? สภาวะวิกฤต ฉันจะคอยเฝ้าเธอค่ะ”
“ตอนนี้สถานการณ์ของเธอทรงตัวนะคะ”
“แต่เธอยังไม่ได้สตินะคะ นี่เรียกว่าทรงตัวเหรอ?” ฉันย้อนถามพยาบาล
พยาบาลถึงกับพูดไม่ออก ดูจากสีหน้าท่าทางของเธอแล้วฉันสามารถรับรู้ได้ว่าแม่เลี้ยงได้ซื้อตัวเธอไว้
แม้ว่าฉันจะขี้ขลาดตาขาว แต่ฉันนั้นสามารถอ่านใจคนได้โดยการพิจารณาสังเกตจากสีหน้าและคำพูด นี่คือความสามารถพิเศษของฉัน
ภายใต้การจ้องมองของฉัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพยาบาลคนนั้นแสดงท่าทางร้อนตัว เดินจากไปพร้อมด้วยเสียงฮึดฮัด
ฉันยังคงนั่งอยู่ด้านข้างเตียงของแม่เลี้ยง จ้องมองใบหน้าของแม่เลี้ยงที่กำลังหลับตา
เธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเมื่อตอนที่เธอยังเป็นวัยรุ่น หลังจากที่เข้าสู่วัยกลางคนก็เริ่มมีน้ำมีนวล ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้อ้วนมากขนาดนั้น แต่เมื่อสวมชุดกี่เพ้ากำมะหยี่ บริเวณหน้าท้องของเธอก็ยังคงมีพุงเป็นชั้น
อย่างไรก็ตามเนื้อเพลงนั้นเป็นความจริง เวลาเป็นเหมือนมีดที่กระตุ้นให้คนมีอายุมากยิ่งขึ้น
ฉันจ้องมองใบหน้าของแม่เลี้ยงอย่างนิ่งงัน ฉับพลันประตูถูกผลักและเปิดออก หลี่เฉิงหมิงเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ของเซียวซื่อกรุ๊ป ด้วยลักษณะท่าทางก้าวร้าวนั้นเพียงมองแค่แวบแรกฉันก็รู้ได้ในทันใด เขาจะต้องมาคิดบัญชีกับฉันอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...