“คุณเซียว ถ้าคุณไม่ยอมรับรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอของอีกฝ่ายละก็ คุณมีตัวอย่างการตรวจสอบของคุณพ่อของคุณไหมครับ คุณสามารถยื่นคำร้องให้ทำการตรวจสอบดีเอ็นเออีกครั้งได้นะครับ”
เฉียวอี้กระทุ้งศอกเข้าที่เอวของฉัน ฉันจึงได้สติกลับมา อันที่จริงฉันได้ยินคำพูดที่หนีอีโจวพูดกับฉันหมดแล้ว แต่ในสมองของฉันกำลังคิดเรื่องต่างๆ มากมายจึงไม่ได้ส่งเสียงตอบรับออกไป
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหนีอีโจว “จำเป็นต้องทำการตรวจสอบอีกครั้งด้วยเหรอคะ? ”
“ถ้าคุณไม่ยอมรับผลการตรวจสอบของพวกเขาครับ”
“ผลการตรวจสอบอันนี้เกี่ยวข้องกับรายละเอียดของคดีไหมคะ? ”
“ก็ไม่ได้เกี่ยวกันครับ ในมรดกของคุณพ่อของคุณไม่ได้มีการระบุเงื่อนไขเบื้องต้นในการมอบมรดกให้คุณว่าคุณจำเป็นต้องเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา ต่อให้จะไม่มีผลการตรวจสอบก็สามารถชนะได้ครับ อีกฝ่ายเพียงแค่ดิ้นรนทุรนทุรายก็เท่านั้นเองครับ”
“ในเมื่อคุณพูดขนาดนี้แล้ว งั้นก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ”
“เซียวเซิง เธอไม่คิดที่จะทำให้มันชัดเจนหน่อยเหรอ? ” เฉียวอี้ใช้สองมือกอบกุมใบหน้าของฉันเอาไว้ “เธอจะคิดแบบขอไปทีอย่างนี้เลยเหรอ? ”
“ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือไม่ก็ตาม ฉันก็เป็นลูกสาวของพ่ออยู่ดี”
“ฉันดูแล้ว เธอไม่กล้าใช่ไหมล่ะ? ”
เฉียวอี้ก็คือเฉียวอี้ ตีทีเดียวก็ตีฉันตายได้เลย
ใช่ ฉันไม่กล้า
ฉันมองไปที่เธอ “ต้องทำจริงๆ เหรอ? ”
“จำเป็นต้องทำจริงๆ ”
“งั้นก็ได้” ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดของฉันคนนี้ และบางทีก็เป็นข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดก็คือการถูกคนเกลี้ยกล่อมได้ง่าย หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง
หนีอีโจวเก็บรวบรวมเอกสารและลุกขึ้นยืน “คุณเซียว การขึ้นศาลในวันจันทร์หน้า ก่อนการขึ้นศาลผมจะไปพบคุณอีกครั้ง และเมื่อผลการตรวจสอบดีเอ็นเอของคุณออกมาแล้วก็ให้บอกผมหน่อยนะครับ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี เราสามารถไม่ต้องส่งมอบผลตรวจให้ศาลได้”
เขาพูดจบก็หันไปพยักหน้าให้เฉียวอี้ “เฉียวอี้ ไปละนะ”
น้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับเฉียวอี้แตกต่างกับน้ำเสียงที่ใช้พูดกับฉันโดยสิ้นเชิง
น้ำเสียงที่ใช้พูดกับเฉียวอี้เป็นแบบที่ใช้คุยกับเพื่อนเก่า ส่วนน้ำเสียงที่ใช้พูดกับฉันเป็นน้ำเสียงสุภาพแบบที่ใช้คุยกับคนแปลกหน้า
หนีอีโจวเดินออกจากห้องรับแขกไปแล้ว ส่วนฉันยังคงจ้องมองไปที่ประตูที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย
เฉียวอี้ผลักฉันเล็กน้อย “ทำไมหนีอีโจวไม่สนใจเธอเลยล่ะ? ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง? ” ฉันหงอยเหงาเศร้าซึมมาก
“ตามไปถามให้ชัดเจนสิ! ”
“ช่างมันเถอะ” ฉันเอ่ย
“ฉันล่ะหงุดหงิดเธอชะมัด เธอนี่มันชักช้าจริงๆ ” เฉียวอี้คว้าแขนของฉันเอาไว้จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเป็นนักกีฬามือหนึ่ง ตัวสูงแขนขายาว ตั้งแต่เล็กจนโตขอแค่เป็นกีฬาไม่ว่าชนิดไหนเธอก็ทำได้ดีหมด พลังในการวิ่งระยะสั้นนั้นแข็งแกร่งมาก ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยไม่มีใครสู้เธอได้เลยจริงๆ
ความอดทนในการวิ่งระยะไกลก็ยอดเยี่ยมมาก ปกติฉันวิ่งแค่แปดร้อยเมตรก็จะตายแล้ว เธอเหมาะสมที่จะเป็นนักวิ่งมาราธอนจริงๆ
ฉันแทบจะถูกเธอลากไป เมื่อวิ่งมาถึงหน้าประตูลิฟต์ก็เห็นหนีอีโจวเพิ่งจะเดินเข้าลิฟต์ไป เธอจึงลากฉันเข้าไปในลิฟต์
หนีอีโจวดูไม่แปลกใจที่เห็นพวกเราวิ่งเข้ามา และเอ่ยถามพวกเราด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปชั้นไหน”
“ไปชั้นไหนอะไรล่ะ พี่เสี่ยวฉวน คุณควรจะอธิบายสักหน่อยไหมว่าทำไมถึงมองเซียวเซิงเหมือนคนแปลกหน้า? ” เฉียวอี้เข้าประชิดตัวหนีอีโจว เอามือข้างหนึ่งยันผนังลิฟต์เอาไว้ เหมือนปี้ตงประธานบ้าอำนาจกับยัยโง่ไป๋เถียนในนิยายรักโรแมนติก
เธอสูงพอๆ กับหนีอีโจว ฉันพบว่าดูเหมือนในช่วงสองปีมานี้เฉียวอี้จะสูงขึ้นอีกแล้ว เดิมทีสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด ตอนนี้น่าจะประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบนิดๆ แล้ว
“เปล่า ผมแค่ไม่รู้ว่าควรจะเรียกเธอว่ายังไงดี จะเรียกว่าคุณเซียวหรือว่าคุณนายสีดีถึงจะเหมาะสม”
ทันใดนั้นฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพอเจอฉัน หนีอีโจวถึงเย็นชาแบบนี้ เป็นเพราะว่าฉันแต่งงานกับสีชิงชวนแล้วอย่างนั้นเหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...