“วางใจเหอะ ตอนนี้เสวียเหวินกำลังดิ้นรนเพื่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ อุตส่าห์ได้เจอที่พึ่งสุดท้ายทั้งที เธอคิดว่าเขาจะปล่อยไปเปล่าๆ เหรอ?”
“แล้วยังไง?”
เฉียวอี้ยิ้มแต่ไม่ตอบ ท่าทางเหนือชั้นสุดๆ
ฉันทานอิ่มเกินไปจึงเอนตัวพิงเบาะที่นั่งด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
ทันใดนั้นเฉียวอี้ก็ตบฉันเบาๆ ฉันเบิกตาขึ้นมองก็เห็นว่าเธอกำลังมองกระจกมองหลังพลางบุ้ยปากเป็นสัญญาณ ฉันจึงมองตามสายตาเธอ
ฉันเห็นว่ามีรถคันหนึ่งกำลังขับตามเรามาด้านหลังติดๆ เพราะรถขับมาใกล้เราเกินไป ดังนั้นคนขับรถจึงดูออกภายในพริบตาเดียวว่าเป็นเสวียเหวิน
“ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ” เฉียวอี้บอก “ตอนนี้เสวียเหวินก็เหมือนกับหมาป่าดุร้ายที่กินเนื้อดิบๆ แล้วก็โหดร้ายสุดๆ ตัวหนึ่ง อุตส่าห์ได้กลิ่นคาวเลือดหยดหนึ่งแล้ว เขาจะปล่อยไปง่ายๆ ได้ไง?”
เขาตามมาแล้วงั้นพวกเราก็เบาใจแล้วล่ะ ไม่งั้นถ้าเชือกเส้นนี้ขาดไป แล้วเรากลับไปหาเขาอีกครั้ง เขาต้องเล่นตัวแน่ๆ
“งั้นเธอก็ขับต่อไปเถอะ”
“เซียวเซิงก็รู้จักกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับแล้วเหรอ โตพอจะถ่ายทอดความรู้ให้ได้แล้วน่ะเนี่ย” เฉียวอี้ลากเสียงยาว
เฉียวอี้ไม่ได้ขับรถกลับบ้าน แต่ขับไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เธอจอดรถแล้วเอียงศีรษะให้ฉัน “ไป เราไปช็อปปิ้งกัน”
ฉันรู้ว่าเฉียวอี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาช็อปปิ้งหรอก ก็แค่พาเสวียเหวินออกมาเดินข้างนอก
แต่ช่วงนี้ฉันก็รู้สึกตึงๆ อยู่เหมือนกัน ออกมาเดินช็อปปิ้งหน่อยก็ดี
ก็เป็นผู้หญิงนี่นา พอได้เห็นของสวยๆ งามๆ ก็ลืมเรื่องกลุ้มใจบางอย่างไปได้ในพริบตาแล้วล่ะ
ถึงความกลุ้มใจของฉันจะไม่สามารถลืมได้ในชั่วพริบตา หรือต่อให้ลืมไปแต่ไม่นานก็จะนึกขึ้นได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร
การช็อปปิ้งอย่างบ้าคลั่งสามารถปลอบโยนจิตใจได้แค่ชั่วขณะ สำหรับฉันมันก็ดีมากแล้วล่ะ
ฉันกับเฉียวอี้ช็อปกันอย่างแหลกลาญ อย่าคิดว่าปกติเฉียวอี้จะดูแก่นแก้วเหมือนทอมบอย แต่พอถึงเวลาช็อปปิ้งเธอกลับเหมือนผู้หญิงธรรมดาๆ นี่แหละ
มีแบรนด์หนึ่งที่ฉันกับเฉียวอี้ชอบมาก ฉันชอบกระโปรงและรองเท้าส้นสูงของร้านพวกเขา ส่วนเฉียวอี้ชอบกางเกงและกระเป๋าของร้านพวกเขา
เราสองคนยืนอยู่ในร้านนั้น ฉันชี้ไปที่ของที่ฉันชอบและบอกกับพนักงาน “ฉันเอาอันนี้…อันนี้…แล้วก็อันนี้ค่ะ อันนั้นเอามาให้ฉันลองหน่อยค่ะ”
เฉียวอี้ชี้ไปที่ของที่ตัวเองชอบและบอกกับพนักงาน “อันนั้น…อันนั้น…แล้วก็อันนั้น ฉันเอาหมดเลยค่ะ เอาอันนี้มาให้ฉันลองหน่อยค่ะ”
เมื่อพนักงานเห็นว่ามีลูกค้ารายใหญ่มาก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาทันทีและยิ้มให้เราหน้าบานเหมือนดอกไม้
ตอนที่ฉันเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วและกำลังส่องกระจกดู ก็เห็นเสวียเหวินผ่านทางกระจก เขากำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าร้านและกำลังชะโงกหน้าเข้ามามอง
พนักงานในร้านก็เห็นเขาเช่นกันจึงถามพวกเราเบาๆ “คุณผู้หญิงคะ คุณผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูมาด้วยกันกับพวกคุณหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ค่ะ” เฉียวอี้ยิ้มระรื่น จากนั้นก็กวักมือให้เสวียเหวิน เขาจึงรีบเดินเข้ามาทันที เฉียวอี้บอกกับพนักงาน “คุณผู้ชายคนนี้จ่ายค่ะ”
เสวียเหวินหน้าซีดทันที ฉันกับเฉียวอี้รีบกวาดซื้อของที่ตั้งโชว์ในร้านทั้งหมดทันที นี่เป็นร้านที่มีชื่อเสียง ยอดบิลไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน อย่าว่าแต่เสวียเหวินในตอนนี้เลย ต่อให้เป็นตอนก่อนหน้าที่เขาจะแตกหักกับเซียวหลิงหลิง เขาก็ไม่สามารถควักเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมาจ่ายได้ในคราวเดียวหรอก
เขายิ้ม “ผมไม่รบกวนสาวๆ ช็อปปิ้งกันดีกว่า อีกเดี๋ยวผมค่อยเลี้ยงข้าวพวกคุณทีหลังนะครับ”
“เพิ่งกินมาค่ะ นี่ก็กำลังช็อปปิ้งย่อยอาหารอยู่” เฉียวอี้เหลือบมองเขาผ่านกระจกแวบหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...