พ่ายรักเมียในนาม(จบ) นิยาย บท 56

เขาโอบเจ้ามาร์ชเมลโล่เอาไว้ในอ้อมแขน เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบแปดปีที่กำลังโอบกลุ่มก้อนสีขาวเอาไว้ ดูแล้วไม่ค่อยจะเข้ากันสักเท่าไหร่

เขานี่มันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้จะพูดยังไงดี

“อะไรกัน ไหนเมื่อวานตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราจะเลี้ยงด้วยกัน”

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”

“ทำไมคุณถึงเปลี่ยนใจง่ายอย่างนี้ล่ะ พวกผู้หญิงอย่างคุณนี่มันจริงๆ เลยนะ” เขาเหลือบมองมาที่ฉัน “บอกว่าเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนเลย อนาคตชีวิตของผมถือว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของเจ้ามาร์ชเมลโล่ไปแล้ว คุณมาบอกว่าให้เอาไปคืนอย่างนี้ได้อย่างไร”

“อย่างนั้นนายก็เลี้ยงแล้วกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”

ฉันเดินออกมาจากห้องของเขา เพียงแต่โชคไม่ค่อยดีนัก ฉันเจอกับพี่สะใภ้ใหญ่เสียได้

เธอสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับดูหรูหรางดงามดูแล้วคงจะออกไปเล่นไพ่นกกระจอก พอเธอเห็นฉันก็ได้สั่งให้ฉันหยุดทันที

“เซียวเซิง” เธอร้องเรียกฉันด้วยน้ำเสียงที่แสบแก้วหู

วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ จึงพยักหน้าให้เธออย่างขอไปที

“เซียวเซิง” พอเธอเห็นฉันไม่สนใจเธอ ก็ยิ่งร้องเรียกดังขึ้นไปอีก “เธอออกมาจากห้องของเจ้าสี่ได้ยังไง?”

“พอดีมีธุระต้องคุยกับเขาค่ะ”

“เธอมีธุระอะไรให้คุยกับเขากัน?”

“พูดคุยกันธรรมดาไม่ได้เหรอคะ?” ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่สบายใจมาก ดังนั้นน้ำเสียงจึงดูแข็งกระด้างไปด้วย

ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูดกับพี่สะใภ้ใหญ่แบบนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่พอใจและได้ถลึงตามองดูฉัน “เซียวเซิง นี่สมองของเธอเพี้ยนไปแล้วเหรอ ถึงได้พูดจากับฉันอย่างนี้?”

“พี่สะใภ้ใหญ่ ฉันขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ”

“นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” พี่สะใภ้ดึงชายเสื้อของฉันเอาไว้ “เธอเป็นสะใภ้ แต่กลับออกมาจากห้องของน้องชายสามีตอนกลางวันแสกๆ เธอมียางอายบ้างรึเปล่า? เธอกลัวว่าเจ้าสามจะดูถูกฐานะของเธอและทิ้งเธอไป ก็เลยไปยั่วยวนน้องชายสามีสินะ?”

“พี่สะใภ้” ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับเธอเลยจริงๆ ฉันรู้สึกว่าเธอมีปัญหาทางจิตอยู่นิดหน่อย “ทำไมคุณต้องคอยหาเรื่องฉันตลอด?”

“เธอคิดว่าฐานะของเธอคู่ควรเข้าตระกูลสีของพวกเราแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

ฉันออกแรงผลักมือของเธอออก จากนั้นหันหลังเข้าห้องของตัวเองไป แต่พี่สะใภ้กลับร้องตะโกนอยู่บนพื้น “เซียวเซิง เธอผลักฉัน เธอกล้าผลักฉัน!”

ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพี่สะใภ้ที่ดูเป็นผู้หญิงเพียบพร้อมคนหนึ่ง จะทำตัวเหมือนผู้หญิงปากร้ายอย่างนี้ ฉันมองเธออย่างโง่งมไปหมดแล้ว

“พี่สะใภ้ ฉันไม่ได้ผลักคุณนะ”

ในเวลานี้เองคุณแม่สีก็เดินลงมามองดูชั้นที่พวกเราอยู่แวบหนึ่ง พอเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ล้มอยู่บนพื้นก็รีบเดินเข้ามาดูด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้น?”

“คุณแม่คะ” พี่สะใภ้รีบดึงกระโปรงของคุณแม่ไว้ “เซียวเซิงผลักหนู”

“เกิดอะไรขึ้น?” คุณแม่สีขมวดคิ้วและมองดูฉันแวบหนึ่ง “เซียวเซิง ไหนเธอลองอธิบายมาสิ”

“หนูกำลังเดินอยู่ตรงทางเดิน แล้วพี่สะใภ้ก็เข้ามาดึงตัวหนู จากนั้นเธอก็ล้มลงบนพื้นค่ะ”

“ทำไมเธอถึงไม่บอกว่าเธอเดินออกมาจากที่ไหนล่ะ? คุณแม่คะ เธอเดินออกมาจากห้องน้องชายสามีนะคะ? คุณแม่เคยเห็นหนูเดินออกจากห้องของน้องสามี เข้าห้องเจ้าสามเหรอคะ?”

“หุบปาก!” คุณแม่สีเอ่ยเสียงต่ำ “มันน่าฟังนักรึไง ได้ยินกันหมดทั้งบ้านแล้ว! เธอลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ นอนอยู่ตรงนั้นดูได้ซะที่ไหน เธอเป็นถึงสะใภ้ใหญ่ ทำตัวเหมือนผู้หญิงปากตลาดนอนกลิ้งตามใจชอบได้ยังไง?”

“ก็เซียวเซิงผลักหนูล้ม” พี่สะใภ้ใหญ่บ่นอุบอิบและลุกขึ้นมา

“คุณแม่คะ เธอล้มลงไปเอง ผมถ่ายเอาไว้หมดแล้ว” สีจิ่นยวนเดินออกมาจากห้องของเขาและส่งโทรศัพท์มือถือในมือให้คุณแม่สี “เริ่มตั้งแต่ตอนที่เธอไปหาเรื่องเซียวเซิงครับ”

คุณแม่สีก้มลงมองดูแวบหนึ่งก่อนจะตำหนิสะใภ้ใหญ่ “สวี่ซินหลาน! เธอตามฉันมาที่ห้องเดี๋ยวนี้!”

“คุณแม่คะ เรื่องที่เซียวเซิงออกมาจากห้องของเจ้าสี่เป็นเรื่องจริงนะคะ”

“วันๆ หนึ่งเธอไม่มีอะไรทำแล้วใช่ไหม?”

ละครฉากนี้จบลงด้วยมุมมองของบุคคลที่สามอย่างคุณแม่สีเรียบร้อยแล้ว

ต้องบอกเลยว่าถึงแม้เวลาปกติคุณแม่สีจะไม่ค่อยชอบฉันสักเท่าไหร่ ทั้งยังพูดกับฉันน้อยมาก แต่พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เธอก็ไม่ได้ลำเอียง ดังนั้นเธอจึงสามารถคุมคนทั้งครอบครัวเอาไว้ได้

ยกเว้นคนโรคจิตอย่างสีชิงชวน

ฉันจัดชายเสื้อเล็กน้อยและเตรียมที่จะเดินกลับห้องไป สีจิ่นยวนมองดูฉันแล้วหัวเราะ “ครั้งหน้าไม่ต้องกลัวพี่สะใภ้นะ คุณแม่กับผมจะช่วยออกหน้าให้คุณเอง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)