เมื่อเห็นลั่วชิงยวนที่นิ่งอึ้งไป ฮองไทเฮาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นปิดริมฝีปากและรีบวางขนมชิ้นนั้นลงบนโต๊ะ
“ช่วงนี้หม่อมฉันมิค่อยอยากอาหารเพคะ ขนมรสชาติหวานจะทำให้หม่อมฉันคลื่นไส้เพคะ ไม่อยากจะเสียมารยาทต่อหน้าฮองไทเฮา”
ฮองไทเฮาสะดุ้งเล็กน้อย แต่หากยังยิ้มได้อีกครั้งแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไร งั้นเจ้าลองอันอื่นดูสิ”
ฮองไทเฮาเปลี่ยนสายตาไปทางอื่น มิได้มองไปที่ลั่วชิงยวนอีก
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางมีท่าทีสะอิดสะเอียนและมิได้แตะต้องของกินขนมอื่นใดต่อ
ในขนมที่หมักด้วยไวน์ข้าวก้อนนี้มีกลิ่นของหญ้าทองทมิฬเจือปนอยู่ ถึงแม้ว่ากลิ่นหญ้าทองทมิฬจะมิได้ชัดมากมายเท่าใดนัก แต่กลับเป็นตัวที่สามารถส่งผลกระตุ้นแมลงพิษได้ดีทีเดียว ล่อให้พวกมันเคลื่อนไหวจนกระทั่งถึงการออกไข่ นำความเจ็บปวดทรมานมาสู่เจ้าของที่อยู่อาศัยได้
และแมลงพิษก็ทำให้ลั่วชิงยวนนึกถึงเรื่องของแมลงพิษที่ถูกดึงออกมาจากร่างกายของฟู่เฉินหวนในคืนที่ฝนตกหนัก
หรือว่าฮองไทเฮาจะเป็นผู้ที่ส่งแมลงพิษตัวนั้นกันนะ?
หากเป็นเช่นนั้น การที่ให้นางมาร่วมดื่มชารับประทานอาหารและมองดูลั่วเยวี่ยอิงถูกตบสั่งสอน เป็นเพราะต้องการดึงนางมาเป็นพวก และใช้นางในการทำร้ายฟู่เฉินหวนหรือไม่
เก้าอี้ตัวนี้ก็มิได้นั่งง่ายขนาดนั้น
สภาพของลั่วเยวี่ยอิงในตอนนี้อนาถจนทนมองมิได้ นางถูกตีจนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเลือด ไม่สามารถแม้แต่ร้องขอความเมตตายังเป็นเรื่องที่ลำบาก นางกำนัลผู้นั้นมิให้โอกาสให้นางได้พูดอะไร มีเพียงเสียงของไม้เรียวที่กระทบกับเนื้อ และเสียงร้องโหยหวนของลั่วเยวี่ยอิงเพียงเท่านั้น
จนกระทั่งลั่วเยวี่ยอิงทนต่อไปอีกไม่ไหวและล้มลงไป นางกำนัลจึงได้หยุดมือและหันไปพูดกับฮองไทเฮา
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่านางจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วเพคะ”
ฮองไทเฮาปรายตามองด้วยความเย็นชา พลางเอ่ย “ยังเหลืออีกกี่ไม้เรียว?”
“สิบไม้เพคะฝ่าบาท”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮองไทเฮาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อยังเหลืออีกสิบไม้ งั้นก็ช่างมันเถอะ ถือว่านางได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว”
“นี่ก็เริ่มจะดึกแล้ว จิ่นชู เจ้าส่งคนนพพระชายาอ๋องกลับตำหนักด้วย”
ลั่วชิงยวนหยัดตัวลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนจะเอ่ย “หม่อมฉันขอตัวลาเพคะ”
ฮองไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็มานั่งเล่นที่วังหลวงโช่วสี่ได้เสมอ”
“เพคะ” ลั่วชิงยวนตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ฮองไทเฮาเมื่อเห็นท่าทีคำพูดเชื่อฟังของลั่วชิงยวน ริมฝีปากของนางก็คลี่ยิ้มกว้างในทันที
หลังจากนั้นจิ่นชูก็ได้จัดคนนำตัวลั่วชิงยวนและลั่วเยวี่ยอิงออกจากวังหลวงไป
เมื่อนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ลั่วเยวี่ยอิงล้มลงบนเบาะรถม้าอย่างอ่อนแรง เลือดไหลออกจากปากของนางเป็นสายอย่างต่อเนื่อง นางไม่สามารถแม้แต่จะเปิดปากเอ่ยวาจา มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ถลึงตาจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความพยาบาทเคียดแค้นปรารถนาจะฉีกนางออกเป็นชิ้น ๆ เท่านั้น
ลั่วชิงยวนมีสีหน้าที่เงียบสงบ จากนั้นจึงเหลือบมองลั่วเยวี่ยอิงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อพักเหนื่อย
เข็มทิศแห่งโชคชะตามีการเคลื่อนไหวในทันทีเมื่อรถม้ายิ่งเข้าใกล้ตำหนักอ๋องมากขึ้น เข็มทิศแห่งโชคชะตาก็ยิ่งขยับมากขึ้นตาม
แม้ว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้คนภายนอกจะไม่สามารถรู้สึกถึงได้ก็ตาม แต่สำหรับนางแล้ว กลับเป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงมาก
นางเปิดผ้าม่านรถม้าออกและมองออกไปด้านนอก ท้องฟ้าในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเลือดสีแดงฉาน บ่งบอกว่า ในคืนนี้จะต้องมีคนตายเพิ่มอีก
หัวใจของนางดำดิ่งลงไปมากยิ่งขึ้น ฟู่เฉินหวนจะไม่ทุบตีนางจนตาย เพราะลั่วเยวี่ยอิงถูกลงโทษใช่หรือไม่?”
……
ณ วังหลวงโช่วสี่
ประตูใหญ่ได้ปิดลง จิ่นชูกำลังปรนนิบัติรับใช้ฮองไทเฮาจนนางเข้านอน
“ฝ่าบาททรงวางแผนจะหลอกใช้ลั่วชิงยวนผู้ที่ดูไม่สมประกอบแบบนั้นจริงหรือเพคะ?” จิ่นชูพูดกับฮองไทเฮา พลางในมือก็บรรจงถอดปิ่นปักผมสีทองออกจากผมของนาง
ไทเฮาเหยียนมองใบหน้าของตัวเองผ่านกระจกตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นลูบรอยย่นที่หางตาของตัวเองเบา ๆ และเอ่ย “ดังคำสุภาษิตที่ว่า คนโง่จะมีความโชคดีของความโง่อยู่ หากคนโง่ผู้นี้สวมรอยแต่งงานแล้วได้เป็นถึงพระชายาอ๋อง ตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเองก็มิหย่าร้างกับนางอีก แสดงว่าโชควาสนาของนางมิธรรมดาเป็นแน่”
จิ่นชูหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ย “ฝ่าบาทตรัสถูกเพคะ”
“วันนี้ลั่วชิงยวนผู้นี้ถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าและลำบากใจมากเสียขนาดนั้น แต่ฮองไทเฮาทรงได้ชำระแค้นให้กับนาง อย่างไรนางก็ต้องสำนึกบุญคุณของฮองไทเฮาผู้นี้อยู่แล้ว วันข้างหน้าก็จะใช้งานนางได้ง่ายขึ้น”
รอยยิ้มลึกคาดเดายากปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของไทเฮาเหยียน ก่อนจะเอ่ย
“เพราะการควบคุมลั่วชิงยวนมิใช่เรื่องที่ง่ายนัก”
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย
กลับมาอัพแล้ว เย่ๆ🥰...
รออ่านตอนต่อไปค่ะ...
รออ่านอยู่นะคร้าาาาาาา...
ไม่อัพแล้วรึคะ...
รออ่านอยู่ค่ะ...
ต่อค่ะต่อ...