เมื่อซูโหยวเห็นว่าบรรยากาศตึงเครียด เขาจะก้าวออกไปพูดจาโน้มน้าวผู้เป็นนายทันที "ท่านอ๋อง ที่ตำหนักยังมีคนที่ยังคลุ้มคลั่งและไม่ได้สติอีกไม่น้อย หากเรามิอาจจัดการเรื่องนี้ได้ คืนนี้อาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็เป็นพ่ะย่ะค่ะ
เมื่อได้เห็นความสามารถของลั่วชิงยวนในตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่า ลั่วชิงยวนสามารถจัดการกับสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจควบคุมได้ เขาเกรงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะมิใช่เหตุการณ์ปกติธรรมดา และคงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับมือได้!
ฟู่เฉินหวนลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ไม่ถือสาเอาความลั่วชิงยวนอีก
เขาลดน้ำเสียงลง "ข้าจะไม่ถือสาเอาความเจ้าสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนัก"
“แต่ข้ามีข้อแม้...”
ก่อนที่ฟู่เฉินหวนจะทันได้พูดจนจบประโยค ลั่วชิงยวนก็หันหลังกลับและเดินออกไป นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เวลาต้องการความช่วยเหลือ ท่านก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้รวดเร็วเสียจริง"
คำพูดเหน็บแนมเหล่านั้นทำให้ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่น
สิ่งที่ได้ยินทำให้หัวใจของซูโหยวเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเห็นสายตาอาฆาตแค้นฉายอยู่ในดวงตาของผู้เป็นนาย เขาก็รีบเอื้อมมือไปคว้าแขนของฟู่เฉินหวนเอาไว้ "ท่านอ๋อง..."
อดกลั้นเอาไว้!
ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว กัดฟันกรอด "ลั่วชิงยวน!"
ซูโหยวตกใจเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องของเขาไม่เคยอารมณ์เสียขนาดนี้มาก่อน นับตั้งแต่พระชายาเข้ามาอยู่ในตำหนัก ท่านอ๋องก็อารมณ์ไม่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก จึงเปิดประตูแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปด้วยความกังวล “ท่านอ๋อง เป็นอะไรหรือเพคะ เกิดอะไรขึ้น?”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาหาเขา หัวใจของเขาก็สงบขึ้นทันที และความเดือดดาลที่อยู่ในใจของเขาก็น้อยลงไปมาก
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงทั้งยังอ่อนโยนขึ้น "ข้าไม่เป็นอะไร ขอให้ซูโหยวส่งเจ้ากลับเรือนนอนเถอะ เจ้าจะได้พักผ่อนและกินโอสถที่หมอกู้สั่ง! ไม่ต้องกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นหรอก"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วเยวี่ยอิงก็พยักหน้า "เพคะ ฝ่าบาท พระองค์ก็ต้องดูแลตัวเอง อย่าได้ขุ่นเคืองใจบ่อยนัก โทสะจะทำร้ายร่างกายของพระองค์เอาได้เพคะ"
ความอ่อนโยนและความมีน้ำใจของลั่วเยวี่ยอิงทำให้จิตใจของฟู่เฉินหวนได้แต่นึกเปรียบเทียบกับความเย่อหยิ่งและไร้เหตุผลของลั่วชิงยวน และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ขึ้น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่านางทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดา แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากมายขนาดนี้!
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนและพักฟื้นร่างกายเสียเถอะ ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีฟังเอง” ลั่วเยวี่ยอิงพยักหน้าแล้วจากไปพร้อมกับซูโหยว
ทันทีที่ลั่วเยวี่ยอิงจากไป ความเดือดดาลในใจของฟู่เฉินหวนก็กลับมาอย่างอธิบายมิได้อีกครั้ง เขาอดกลั้นต่อโทสะขณะเดินไปยังลานกว้าง เขาอยากจะรู้นักว่าใครกันที่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้!
……
แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างไปทั่วทั้งตำหนักอ๋อง เพียงเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากบริเวณด้านหน้า เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นนางก็รู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นเสียงร้องของจือเฉา!
ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะวิ่งตามเสียงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
นางแหวกหญ้าออกไปด้านข้าง และได้เห็นกับตาว่า คนรับใช้ที่กำลังคลุ้มคลั่งกำลังเหวี่ยงจือเฉาลงไปที่พื้น
ลั่วชิงยวนหยิบไม้กวาดขึ้นมาจากพื้นแล้วฟาดมันใส่คนรับใช้ผู้นั้นอย่างแรง
คนรับใช้ผู้นั้นหมดสติลงทันที
“พระชายา!” จือเฉาลุกขึ้นจากพื้นด้วยความตื่นตระหนก และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนางด้วยความหวาดกลัว
ลั่วชิงยวนตบไหล่ของนางเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้ว”
"ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?"
"ที่หลังเรือน หลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น แม่บ้านเติ้งจึงไปตรวจสอบสถานการณ์ หม่อมฉันเกรงว่า พระชายาจะตามมาดูสถานการณ์ที่นี่ จึงได้มาเห็นว่าเขาคุกเข่าอยู่ ก่อนที่จู่ๆ จะเข้ามาทำร้ายหม่อมฉัน" จือเฉาเอ่ยตอบอย่างประหม่า
“พระชายา คืนนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ? ทำไมทั้งตำหนักถึงได้วุ่นวายเช่นนี้?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ลั่วชิงยวนปลอบใจนาง ก่อนจะคุกเข่าลง พลิกตัวคนใช้ที่หมดสติขึ้น จึงได้เห็นรังสีแดงฉานปรากฏอยู่ที่หน้าผากของเขา นางกัดนิ้วตัวเองอีกครั้งแล้วเขียนอักขระเวทย์ลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น มีควันพวยพุ่งออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย
กลับมาอัพแล้ว เย่ๆ🥰...
รออ่านตอนต่อไปค่ะ...
รออ่านอยู่นะคร้าาาาาาา...
ไม่อัพแล้วรึคะ...
รออ่านอยู่ค่ะ...
ต่อค่ะต่อ...