หลังออกจากเรือนทิศใต้มาแล้วลั่วชิงยวนก็ออกปากให้ฟู่อวิ๋นโจวส่งนางเท่านี้ ไม่ต้องถึงขั้นว่าอยู่ในห้องหับด้วยกันตามลำพังหรอก เพียงแค่เดินด้วยกันสองต่อสองยามค่ำคืนเช่นนี้หากว่ามีคนมาเห็นเข้าไม่แคล้วต้องโดนนำไปติฉินนินทาแน่
ขณะที่เดินกลับเรือนตามลำพัง นางก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับท่านหมอที่ผิดปกติไป
ท่านหมอกู้นั้นมีสถานะสูงส่งในตำหนักนี้ นอกจากห้องตำราของฟู่เฉินหวนแล้ว เขาสามารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ การไปที่เรือนของนางก็ไม่มีใครสนใจเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเขานั้นมีทักษะทางการแพทย์สูงส่งซึ่งสามารถปรุงยาที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งได้อย่างง่ายดาย
น่าสงสัยยิ่งนัก!
นางไม่รู้ว่าเขามีเจตนาที่จะทดสอบนาง หรือเขาขอให้นางช่วยกำจัดวิญญาณร้ายในร่างเพื่อบรรเทาอาการจริง ๆ
นางใช้วิธีการวาดอักขระเวทย์ให้เขา ไม่ว่าจุดประสงค์ของท่านหมอคืออะไร ก็ไม่ควรเป็นปัญหา
ดูเหมือนว่าจากนี้ไปนางจะต้องคอยจับสังเกตท่านหมอกู้ให้มากขึ้น
บางทีเขาอาจจะเป็นปราชญ์ฮวงจุ้ยที่เร้นกายอยู่ในตำหนักก็เป็นได้
ขณะที่นางกำลังเดินไปตามทางเดิน จู่ ๆ ก็มีเงาร่างสีดำโผล่มาตรงหน้า ใจนางเต้นระรัวและกำหมัดเพื่อเตรียมโจมตีในทันที
เซียวชูชะงักไป เขารีบหลบการโจมตี ก่อนนิ่วหน้าและพูดเสียงทุ้มว่า “พระชายา ท่านอ๋องให้มาเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วชิงยวนรีบเก็บมือกลับมา ปฏิกิริยาตอบสนองแบบฉับพลันนี้เป็นสิ่งที่ได้มาหลังจากที่ผ่านอะไรมาหลายปี
แววตาของนางมืดครึ้มลง คราวนี้นางทำอะไรไปอีกล่ะ…
“ไปสิ”
……
เมื่อได้เห็นว่าห้องตำรายังมีแสงไฟสว่างอยู่ อารมณ์ของลั่วชิงยวนก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย นางเกิดลังเลไม่แน่ใจขึ้นมา
นางจะสามารถเจรจาเงื่อนไขกับฟู่เฉินหวนได้หรือไม่นะ?
การไปเจรจาจะมีประโยชน์ใดหรือไม่?
แต่ตอนนี้นอกจากฟู่เฉินหวนแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถช่วยนางได้อีกกัน?
แม้ฟู่อวิ๋นโจวกับนางจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เมื่อนางหวนคิดถึงห้องขององค์ชายที่ดูเรียบง่ายและอัตคัด นางก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป ฟู่อวิ๋นโจวปกป้องตนเองยังมิได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจึงไม่ควรไปเพิ่มความหนักใจให้เขา
“พระชายา ท่านอ๋องทรงรออยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวชูที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเตือน ลั่วชิงยวนจึงได้สติกลับมา
นางผลักประตูเดินเข้าไปในห้องตำรา
ฟู่เฉินหวนนอนอยู่ที่ตั่งในห้องตำรา ดวงตาเขาปิดสนิทและดูจดจ่อ กลิ่นอายรอบกายของเขายังคงเย็นเยียบน่าหวั่นเกรง
ลั่วชิงยวนเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้านิ่งสงบ และนั่งลงอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยอะไร
แม้ฟู่เฉินหวนจะรับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่านางเดินเข้ามา แต่เขาก็ยังคงหลับตานิ่งไม่เอ่ยวาจาใด ราวกับว่ารอให้นางเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อน
ลั่วชิงยวนนั้นรอได้ นางค่อย ๆ รินชาให้ตนเอง
หลังจากนิ่งเงียบไม่มีใครเอ่ยอะไรราวครึ่งชั่วยาม ฟู่เฉินหวนก็เริ่มหายใจหนักหน่วงบ่งบอกว่าเขาเริ่มหมดความอดทน
สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “เงื่อนไขของเจ้าคืออะไร?”
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนค่อย ๆ วางจอกชาลง ผู้ที่เริ่มเอ่ยปากก่อนย่อมเสียความได้เปรียบในเกมนี้
“เงื่อนไขหรือเพคะ? ท่านถามหม่อมฉันทั้ง ๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วฃมิใช่รึ?”
“อีกอย่าง ท่านอ๋องอาจจะไม่รักษาคำพูดก็ได้” ลั่วชิงยวนยิ้มประชด
เส้นเลือดบนหน้าผากฟู่เฉินหวนเต้นตุบ ดวงตาเขาฉายแววโทสะแต่เพียงพริบตาก็กดข่มไว้ได้
เขาถามเสียงต่ำว่า “แม้ข้าจะรับปากร่วมมือกับเจ้า ก็มิใช่เหตุผลที่เจ้าจะสามารถทำตัวไม่เหมาะสมได้”
“เจ้ากลั่นแกล้งเยวี่ยอิงไม่เลิก ตัวข้าผู้เป็นอ๋องไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ทำเป็นมิรู้มิเห็นได้หรอกนะ”
ทุกครั้งที่เขาเห็น จะเป็นนางที่เป็นฝ่ายรังแกลั่วเยวี่ยอิง เช่นนี้เขาจะไม่มีโทสะได้เช่นไร? ทำไมนางต้องเอาโทสะไประบายกับเยวี่ยอิงด้วย? ทั้งหมดนี้นางหาเรื่องใส่ตัวไม่ใช่หรือ?
คำพูดเรียบนิ่งนั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน ความขมฝาดพวยพุ่ง และอกนางก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่
ยามที่นางรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ นางจะคิดว่า ตนคงจะเป็นบ้าไปแล้วที่รู้สึกเสียใจกับเขา นางควรจะต้องมีโทสะต่างหาก!
แต่นางกลับไม่สามารถกดกลั้นความโศกเศร้าและขมฝาดในใจได้
นางถูกพวกเขาวางหมากไว้ หากว่าไม่ใช่เป็นเพราะอาภรณ์ที่ฟู่อวิ๋นโจวมอบให้นางไว้ ตอนนี้นางคงไม่แคล้วต้องติดคุก
แม้เขาจะสัญญาว่าจะช่วยนางเอาของของมารดาคืนมา แต่ครั้นเมื่อนางได้มันมา เขาก็ชิงเอาไปให้กับลั่วเยวี่ยอิงต่อหน้านาง
นี่เขาไม่รู้เลยหรือไรว่าเรื่องที่ทำลงไปนั้นถูกหรือผิด?
เขาพูดเรื่องพวกนี้ออกมาอย่างไม่แยแสได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่านางสมควรที่จะต้องโดนทุกอย่างแล้ว
นางสวมรอยแต้งงานเข้ามา เพราะแบบนี้นางจึงสมควรต้องเจอเรื่องพวกนี้หรือ? นางสมควรต้องตาย และต้องตายไม่เหลือร่างให้กลบฝังหรือไม่?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย
กลับมาอัพแล้ว เย่ๆ🥰...
รออ่านตอนต่อไปค่ะ...
รออ่านอยู่นะคร้าาาาาาา...
ไม่อัพแล้วรึคะ...
รออ่านอยู่ค่ะ...
ต่อค่ะต่อ...