ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 131

“ที่แท้โกดังนี้ก็มีความจุงั้นเหรอ ?” นางเห็นว่าระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบของมิติพิเศษนั้นยอดเยี่ยมมาก ก็เลยคิดว่าโกดังนั้นจุได้ไม่จำกัด

ตอนนี้ดูเหมือนว่า ถ้านางยังไม่แก้ปัญหาของโกดัง ธัญพืชในมิติพิเศษนี้เกรงว่าอาจไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้

วิธีจัดการที่เร็วที่สุด แน่นอนคือการขนย้ายธัญพืชในโกดังหรือกำจัดทิ้งไป

แต่ปัญหาก็คือ นางอยู่ในตำหนักเย็น ธัญพืชในโกดังตั้งมากมาย นางไม่มีที่จะเก็บธัญพืชเหล่านั้นอยู่แล้ว

มันน่าเศร้าจริง ๆ

พสกนิกรจำนวนมากที่อยู่ข้างนอกแทบไม่มีอาหารจะกิน แต่ที่นางกลับมีอาหารมากมายจนไม่รู้จะจัดการเยี่ยงไร

ข้าวสารยังถือว่าดี ถ้านางออกจากวังไปก็ยังสามารถขายให้คนอื่นได้

แต่ถึงอย่างไรนอกจากข้าวสาลีและข้าวโพดรวมถึงมันฝรั่งเหล่านี้ที่ยังไม่เคยนำออกมาสู่สายตาเลย ก็มิสามารถสุ่มสี่สุ่มห้าเอาออกมาได้

ในตอนนั้นเองลู่ยุ๋นหลัวก็เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในมิติพิเศษ

ทันใดนั้นก็นึกถึงผลไม้สำหรับวิวัฒนาการคราวก่อน

หลังจากที่นางทานโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งที่แล้ว มิติพิเศษก็ถูกวิวัฒนาการขึ้นมาก

ถึงได้มีโกดังที่ดำเนินการอัตโนมัติเต็มรูปแบบเช่นนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบไปยังที่ชั้นผลไม้สำหรับวิวัฒนาการ

ผลไม้สำหรับวิวัฒนาการที่เหมือนองุ่นสีม่วงก่อนหน้านี้กลายเป็นสีชมพูอ่อน แผ่นไม่ที่มีชื่อกำกับไว้ก็เปลี่ยนเช่นกัน

[ผลไม้สำหรับวิวัฒนาการระดับสาม มิติพิเศษจะได้รับการวิวัฒนาการอีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะมีโกดังอัตโนมัติเต็มรูปแบบสิบแห่ง พื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดจะเพิ่มเป็นสองเท่า และจะมีสวนสมุนไพรหายาก และวัตถุดิบยาที่ไร้เทียมทานหลายชนิด...]

[ผลข้างเคียง: ยังไม่ชัดเจน โปรดบริโภคด้วยความระมัดระวัง]

ยังไม่ชัดเจนอีก !

ลู่ยุ๋นหลัวมองไปที่ผลไม้สีชมพูจาง ๆ ที่อยู่ข้างหน้า แค่เห็นก็ปวดหัวมาก

ครั้งล่าสุดที่กินผลไม้วิวัฒนาการไป อาการก็เหมือนกับเมาสุรา จากนั้นก็สูญเสียความทรงจำและสติสติสัมปชัญญะไปทั้งหมด

อีกนิดเดียวก็เกือบจะได้หลับนอนกับจี้อู๋เจวี๋ยไปแล้ว

คราวนี้เป็นผลไม้สำหรับวิวัฒนาการระดับสาม!

แทบไม่ต้องจะคิดถึงผลข้างเคียงจะต้องแย่กว่าคราวก่อนอยู่แล้ว

เมื่อนึกถึงผลข้างเคียงที่ควบคุมไม่ได้ ลู่ยุ๋นหลัวก็รู้สึกปวดหัวในทันที

ถ้าเผลอเกิดอันตรายขึ้นมาจนตัวเองเกิดเหตุไม่คาดฝัน มันไม่เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ ?

ลู่ยุ๋นหลัวรู้สึกว่าควรคิดหาวิธีการนำข้าวสารในโกดังออกมาขายจะดีกว่า

เช้าตรู่ของวันที่สอง คนจากตำหนักซู่ซินมาถึงเพื่อประกาศข่าว เนื่องจากท่านผู้อาวุโสกั๋วกงติ้งป่วยหนัก นายหญิงจึงได้รับพระราชอนุญาตเป็นพิเศษเพื่อไปเยี่ยมเยียนช่วงระยะเวลาหนึ่ง

และยังส่งนางข้าหลวงหกคนมาให้นาง

ลู่ยุ๋นหลัวแสร้งคิดไปเองว่าท่านอ๋องเฉินได้แอบไปทูลกล่าวเพื่อชักจูงเปลี่ยนพระทัยของจี้อู๋เจวี๋ย

นางรีบเก็บข้าวของและออกจากวังพร้อมกับหยินซวางและแม่นมโจว

จี้อู๋เจวี๋ยยืนอยู่บนกำแพงเมืองและทรงเฝ้ามองรถม้าออกจากประตูเมืองไปแล้วถึงเหลือบพระเนตรมองไปทางอื่น

“ฝ่าบาท ในเมื่อฝ่าบาททรงกังวลนายหญิง ทำไมฝ่าบาทถึงไม่เสด็จออกไปนอกพระราชวังพร้อมกับนายหญิงล่ะพะยะค่ะ ?” เฉาจงฉวนรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย

ตั้งแต่ฝ่าบาทได้ทรงพบกับนายหญิงก็ทรงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย

จี้อู๋เจวี๋ยมองไปที่เฉาจงฉวนอย่างเย็นชา "ไม่ใช่เรื่องของเจ้า !"

ฝ่าบาทรงหันหลังเสด็จจากไปและทิ้งร่างของคนที่มัวแต่ครุ่นคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกอยู่เบี้องหลัง

หลังจากที่พระเกี้ยวเสด็จออกจากประตูวังผ่านเส้นทางถนนอย่างทุลักทุเลก็ถึงจวนกั๋วกงติ้งทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง

เมื่อมาถึงประตู ก็เห็นข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนย้ายโลงศพเข้าไปข้างใน ใจของนางก็จมดิ่งลงในทันใด

ท่านตาไม่ไหวแล้ว ? หรือว่าจากไปแล้ว ?

ท่านอ๋องเฉินไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าท่านตาของนางได้ดื่มบัวหิมะไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงน่าจะอาการทรงตัวช่วงหนึ่งไม่ใช่เหรอ ?

ทำไมตอนนี้ถึงเริ่มจัดงานศพแล้ว ?

“แม่นมโจว เจ้าไปรั้งพวกเขาไว้ก่อน” นางต้องการเข้าไปในคฤหาสน์เงียบ ๆ ก่อนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“โทษทีพวกพี่ชาย ดูเหมือนว่าพวกเจ้ากำลังแบกโลงศพเข้าไปข้างใน ผู้อาวุโสซูจากโลกนี้ไปแล้วรึ ?”

“ยังไม่จากไป แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ หายใจรวยรินแล้ว นายท่านสองและนายท่านสามบอกให้เตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องรีบร้อนเมื่อถึงเวลา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น