ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 132

"ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องเฉินมาที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อนหรอกเหรอ ท่านผู้อาวุโสแห่งจวนกั๋วกงน่าจะดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่รึ ? ทำไมอาการมันถึงกลับแย่ลงล่ะ ?" ทันทีที่แม่โจวพูดออกไป เหล่าข้ารับใช้ก็มองดูแม่นมโจวด้วยความระแวดระวังทันที “ไป ๆ ๆ แม่เฒ่าไปฟังมาจากไหนกัน ท่านรีบหลีกทางไปเถอะ อย่าขัดขวางงานของพวกเรา”

แม่นมโจวถูกผลักออกไปด้านข้าง ตอนนี้ลู่ยุ๋นหลัวอาศัยจังหวะที่คนเหล่านั้นไม่ได้ทันสังเกต ก็เข้ามาในจวนเรียบร้อยแล้ว 

ในความทรงจำของนาง นางมักจะมาที่จวนกั๋วกงติ้งบ่อย ๆ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับพื้นที่ภายในจวนแห่งนี้เป็นอย่างดี

ตลอดทางจึงสามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญกับหญิงรับใช้และเด็กรับใช้ไปได้มากมาย

จนมาถึงห้องนอนของท่านตาอย่างราบรื่น ทันทีที่เข้าประตู ก็ได้กลิ่นยาจีนที่เข้มข้นและแรงมาก

ทั้งภายในห้องและนอกห้อง ไม่มีใครคอยปรนนิบัติรับใช้เลยสักคน

"น้ำ…"

“ขอน้ำหน่อย...”

ชายชราที่มีผมสีขาวบนเตียง ใบหน้าที่อ่อนแอ แก้มทั้งสองข้างที่บุ๋มจมลึก ใบหน้าซีดขาวและแห้งเซียว แม้แต่ริมฝีปากก็ยังแห้งจนหนังลอกออกมา

หัวใจของลู่ยุ๋นหลัวเจ็บปวดในทันใด จนน้ำตาที่เกือบจะไหลรินออกมา

นางรีบหยิบถ้วยชาบนโต๊ะพร้อมกับเทคว่ำ แต่กลับพบว่าในนั้นไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว

ลู่ยุ๋นหลัวตอนนี้ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป รีบนำถ้วยชาเข้าไปในมิติพิเศษและใส่น้ำแห่งจิตวิญญาณออกมาหนึ่งกาและเทใส่ถ้วย จากนั้นก็ค่อย ๆ ป้อนให้ท่านตาของนางดื่มทีละน้อย

น้ำแห่งจิตวิญญาณนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก

เมื่อร่างกายอ่อนแอ การดื่มเข้าไปจะสามารถเสริมสร้างพละกำลังให้กับร่างกายได้ การดื่มเป็นประจำก็ยังสามารถเสริมสร้างบำรุงร่างกายได้เช่นกัน

เมื่อตอนที่นางอยู่ในตำหนักเย็น ก็มักจะอาศัยจังหวะที่หยินซวางและแม่นมโจวไม่ได้สังเกต นำน้ำแห่งจิตวิญญาณนี้แอบเอามาใส่ในกาไว้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

หลังจากที่ผู้เฒ่าอาวุโสซูดื่มน้ำแห่งวิญญาณไปก็หลับสนิท

จากนั้นลู่ยุ๋นหลัวก็ช่วยท่านตาของนางโดยการแมะชีพจร (แมะชีพจร หมายถึง การตรวจชีพจรโดยวัดจากข้อมือเพื่อตรวจดูสุขภาพร่างกาย)

ในโลกที่แล้วของนาง นางเรียนแพทย์แผนจีนโบราณเป็นเวลายี่สิบปีตั้งแต่วัยเด็ก นางก็มีความเชี่ยวชาญในทักษะทางการแพทย์ที่สูงเทียมฟ้าได้

ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ นางคงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่อายุน้อยที่สุดไปแล้ว นางคงไม่ต้องทะลุมิติมาที่สมัยราชวงศ์นี้

เมื่อเวลาผ่านไป ใบหน้าของลู่ยุ๋นหลัวก็ยิ่งจริงจังกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ

นี่ไม่ใช่อาการป่วย !

นี่มันฝีมือคนวางยาและจงใจฆ่าชัด ๆ !

คนวางยาพิษนั้นช่างเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว !

โดยปกติจะใส่ทีละน้อย ๆ โดยที่คนจะไม่รู้สึกถึงยาพิษ เมื่อพิษสะสมทีละน้อยจนอาการป่วยรุนแรงขึ้น ก็ค่อยเพิ่มปริมาณพิษอีกเล็กน้อยก็สามารถคร่าชีวิตคนได้แล้ว

อีกอย่างพิษชนิดนี้ หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ขั้นสูงก็จะดูไม่ออกในทันที จะรู้สึกเพียงแค่ว่าท่านตาอายุชราภาพร่างกายอ่อนแอถึงได้ป่วยเป็นเช่นนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะบัวโลหิตของท่านอ๋องเฉินยื้อชีวิตเอาไว้ ท่านตาของนางคงจากไปนานแล้ว !

โชคยังดีที่ยังช่วยเอาไว้ได้ ทุกอย่างยังคงพอมีเวลา !

หลังจากออกไป นางก็เตรียมเพื่อไปหาลุงหวังเพื่อสอบถามรายละเอียดสถานการณ์ในจวน

ลุงหวังคนนี้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลของจวนกั๋วกงติ้ง ท่านตาของนางเคยช่วยชีวิตไว้ตั้งแต่ยังเด็ก ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่เคียงข้างท่านตามาโดยตลอด

หากจะให้พูดว่าใครในจวนกั๋วกงติ้งที่ยังสามารถให้นางไว้ใจได้ ก็มีเพียงลุงหวังคนนี้เท่านั้น

นางหลีกเลี่ยงข้ารับใช้ในจวนและค้นหารอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นลุงหวังแม้แต่เงา

ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะถามเด็กรับใช้ดีอยู่รึไม่นั้น ร่างเงาที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากคอกม้า

ห้าวันก่อน ลุงหวังถูกเด็กรับใช้ในจวนรายงานกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์จำนวนมากในจวนและกำลังจะหลบหนีไป จากนั้นเมื่อตรวจค้นที่ห้องของเขาก็พบเงินทองทรัพย์สินจำนวนมาก โดยตอนแรกลุงหวังก็เกือบจะถูกเอาไปขายแล้ว ต่อมาเมื่อเห็นว่าเป็นคนเก่าที่คอยอยู่เคียงข้างท่านผู้อาวุโสมาหลายปี จึงถูกลดตำแหน่งจากหัวหน้าผู้ดูแลให้ไปทำงานที่คอกม้าแทน

ลุงหวังไม่ได้มีโอกาสพูดอธิบายแม้แต่คำเดียว และถูกนายท่านสองให้ยอมรับโทษต่อหน้าสาธารณะโดยปริยาย

ช่วงห้าวันนี้ของการทำงานในคอกม้าทั้งเหน็ดเหนื่อยและลำบาก

อาหารที่ให้เขาทานทุกวันก็เป็นเศษข้าวเศษอาหารที่เหลือ แม้กระทั่งบางส่วนก็เหม็นหืนแล้ว

เขาแบกถังน้ำอย่างลำบากและกำลังจะจัดการล้างพื้นอีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีเสียงก้องกังวานดังขึ้นข้างหลังเขา "ลุงหวัง"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น