ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 133

ลุงหวังหันกลับมา เห็นเพียงสตรีคนหนึ่งสวมชุดของอิสตรีทำจากผ้าไหมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ไม่ไกลและมองเขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

"ตุ้บ !" เสียงดังขึ้น

ถังไม้ในมือของลุงหวังตกลงสู่พื้น "พลั่ก" จากนั้นก็เป็นเสียงคุกเข่าที่ตามมา

"คุณหนูใหญ่ ในที่สุดท่านก็มา..."

เสียงของลุงหวังสะอึกด้วยความตื่นเต้น

น้ำตาไหลรินเอ่อล้นเป็นประกายที่ดวงตาของเขา

ประโยคสั้น ๆ นี้ แต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายที่อยากจะพรรณนา

มีทั้งความตื่นเต้น ความคาดหวัง ความยินดี และแม้แต่ความคับข้องน้อยใจ

ลู่ยุ๋นหลัวก้าวไปข้างหน้าและพยุงลุงหวังให้ลุกขึ้น

ลุงหวังคว้าจับมือของลู่ยุ๋นหลัว "คุณหนูใหญ่ บ่าวมีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน"

ขณะที่เขาพูดก็มองไปรอบ ๆ อย่างเป็นกังวล "มาเถอะ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในกัน"

คอกม้าด้านในทั้งสกปรกและมีกลิ่นเหม็น ซึ่งโดยปกติก็ไม่มีใครเข้ามาในนี้นัก

“คุณหนูใหญ่ บ่าวขอร้องท่าน ได้โปรดรีบช่วยท่านผู้อาวุโสด้วยเถอะ”

ทันทีที่เข้าไปในคอกม้า ลุงหวังก็คุกเข่าลงอีกครั้งทันที

ตอนนี้คนในจวนไม่มีสักคนที่เขาจะเชื่อใจได้ เขาเชื่อเฉพาะลู่ยุ๋นหลัวที่อยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น

"ลุงหวัง ข้ามาที่นี่วันนี้เพราะเรื่องของท่านตาของข้า ถ้าเจ้ารู้อะไรก็บอกมาเถอะ" ลู่ยุ๋นหลัวมองไปที่ลุงหวังที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ภายในใจเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย

แม้ว่าลุงหวังคนนี้อายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ตอนที่เขาเป็นผู้ดูแลกลับดูมีชีวิตชีวามาก ตอนนี้ที่ทำงานในคอกม้า ดูเหมือนเขาจะแก่ลงไปไม่น้อย

“คุณหนูใหญ่ ท่านผู้อาวุโสไม่ได้ป่วยหนัก แต่มีคนวางยาเขา !” ลุงหวังมีอารมณ์ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเขาพูดเรื่องนี้

ที่แท้ ในวันที่สองของการอภิเษกของลู่ยุ๋นหลัว หรือก็คือวันที่นางถูกขับไสเข้าไปพำนักในตำหนักเย็น ท่านผู้อาวุโสก็ล้มป่วยลง อีกทั้งอาการก็ยังรุนแรงมากราวกับจะไม่มีทางฟื้นกลับดีขึ้นมาได้

ในตอนแรก ลุงหวังคิดว่าเป็นเพราะอัครมหาเสนาบดีถูกประหารชีวิต และคุณหนูใหญ่ก็ถูกขับไสเข้าไปพำนักตำหนักเย็น จึงเป็นผลที่ทำให้เสียใจมากจนอาการทรุดลงหนักเช่นนี้

ต่อมา ก็ได้เชิญแพทย์ที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงมา พวกเขาล้วนต่างบอกว่าท่านผู้อาวุโสโศกเศร้าเป็นอย่างมาก เดิมทีก็มีโรคอยู่ในร่างกายอยู่ก่อนแล้ว จนถึงตอนนี้อาหารก็กำเริบออกมาพอดี

ว่ากันว่าโรคภัยไข้เจ็บมาเท่าภูเขา ท่านผู้อาวุโสก็เจ็บป่วยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ถึงแม้ว่าท่านผู้อาวุโสจะล้มหมอนนอนเสื่อ แต่บางครั้งก็ยังกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ยังสามารถทานอาหารได้ ดื่มน้ำได้

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ นายท่านสองและนายท่านสามทั้งสองครอบครัวต่างก็พาผู้สูงศักดิ์ฝ่ายหญิงย้ายเข้ามาพักอาศัยในจวนกั๋วกงโดยอ้างว่าช่วยดูแลท่านผู้อาวุโส

เมื่อ 10 วันก่อน ขณะที่เขาเทโจ๊กที่เหลือทานจากท่านผู้อาวุโสลงในถังน้ำ อยู่ดี ๆ ก็ถูกสุนัขจรจัดที่บุกเข้ามาจากข้างนอกทำหก สุนัขตัวนั้นกินไปได้เพียงไม่กี่คำก็ตายในทันที

ลุงหวังถึงกับรู้สึกตกใจ ว่าแต่ไหนแต่ไรมามีคนวางยาพิษในอาหารของท่านผู้อาวุโส

พอมาถึงวันที่สอง ลุงหวังก็เริ่มระมัดระวังอาหารจากครัวที่ทำออกมา แต่ในคืนนั้นเขาก็ถูกเด็กรับใช้ปรักปรำ กล่าวว่าเขาฉวยโอกาสที่ท่านผู้อาวุโสป่วยทรุดหนักเพื่อขโมยเงินตำลึงและต้องการหลบหนี จากนั้นก็ถูกนายท่านสามส่งไปที่คอกม้าในทันที

และท่านผู้อาวุโสตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาการก็ป่วยหนักลงเรื่อย ๆ จนถึงขนาดที่อาหารก็เริ่มทานไม่ได้ นับวันผ่านไปก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนดูเหมือนว่าเขาพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ

หากไม่ใช่เพราะไม่กี่วันก่อนท่านอ๋องเฉินได้มาเยี่ยมเยือน เกรงว่าท่านผู้อาวุโสก็คงจากไปตั้งนานแล้ว

"คุณหนูใหญ่ จนถึงตอนนี้ข้างกายของท่านผู้อาวุโสไม่มีใครไว้ใจได้แม้แต่คนเดียว นอกจากคุณหนูใหญ่แล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก ! ได้โปรดคุณหนูใหญ่ช่วยท่านผู้อาวุโสด้วยด้วย !" ลุงหวังคุกเข่าลงบนพื้นโค้งก้มหัวแก่ลู่ยุ๋นหลัว

ชีวิตของท่านผู้อาวุโสช่างลำบากขมขื่นเหลือเกิน !

เขาเป็นทหารมาตลอดชีวิต สูญเสียภรรยาไปตั้งนานแล้ว และยังสูญเสียลูกสาวเมื่อวัยกลางของเขา  แม้กระทั่งลูกชายคนเดียวที่มี ก็มาเป็นบุคคลทุพพลภาพที่หายสาปสูญไปไร้ข่าวคราว

กระทั่งตอนนี้ ก็มาถูกคนทรยศทำร้าย จนล้มหมอนนอนเสื่อ แม้แต่คนที่กตัญญูจะคอยปรนนิบัติข้างกายก็ไม่มีสักคน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น