ท่านตาคนสามเมื่อได้ยินท่านผู้อาวุโสไม่อยากรับเลี้ยงบุตรเขาก็กระวนกระวายขึ้นมาทันใด นั่นช่วงเวลาของเขาที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าทำไปเสียเปล่าหรอกเหรอ
ภรรยา ลูกชาย ลูกสาวของเจ้าไม่เสียชีวิตก็พิการ...
นี่เป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุดที่ต้องหลีกเลี่ยงของท่านตาในไม่กี่ปีนี้และเป็นประโยคที่น่ากลัวมากที่สุด
คนพวกนี้ในที่สุดก็เอาคำพูดพวกนี้พูดออกมา พวกนี้เป็นพี่น้องประเภทไหนกัน พวกมันก็เป็นแค่จิ้งจอกหลอกใช้เอาผลประโยชน์
ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของท่านผู้อาวุโสที่ดูแลอย่างดีในช่วงวันนี้ก็ถอดสีฉับพลัน จนขาวซีดหาอะไรยากเทียบ จนแม้แต่ร่างสูงของเขาก็สั่นเล็กน้อย
ก็อย่างที่รู้ ประโยคนี้สร้างผลกระทบทำร้ายเขาเป็นอย่างมาก
"พี่ชายใหญ่ ปีนี้เจ้าก็อายุมากแล้ว ควรรับเลี้ยงบุตรตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นในวันหลัง" เห็นได้ชัดว่าท่านตาคนรองไม่สนใจจิตใจของท่านผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย ส่วนปากก็เอาแต่พูดโน้มน้าวด้วยคำพูดที่ออกมาราวกับโล่งใจ
ลู่ยุ๋นหลัวเทยาบำรุงหัวใจและมอบให้ท่านตาของนางหนึ่งเม็ดเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากนั้นไม่นาน ท่านตาของนางถึงได้ลืมตาขึ้น
แววตาที่เคยสดใสในอดีตกลับดูอ้างว้างขึ้นมาก
เขาถามเสียงแหบแห้งขึ้นมา “พวกเจ้าจะให้ข้ารับเลี้ยงคนไหนเป็นบุตรรึ ?”
เมื่อผู้คนด้านล่างได้ยินเสียงพูดของท่านผู้อาวุโส พวกเขาก็ดูตื่นเต้นทันที
ด้วยเหตุนี้พี่น้องสองตระกูลก็เริ่มโต้เถียงกันอย่างไม่หยุดพักเพื่อให้ลูกหลานของตนเองได้ถูกรับเลี้ยงเป็นบุตร
ท่านผุ้อาวุโสดูเหมือนจะเหนื่อยแล้ว "หลานหลัว พวกเราลงไปกันเถอะ"
หลังจากกลับมาที่เรือน ท่านตาของนางก็ขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว
ลู่ยุ๋นหลัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ครึ่งชีวิตหลังของท่านตาช่วงลำบากลำบนเหลือเกิน
และก็ไม่รู้ว่าน้าชายไร้ค่าของนางหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ เวลาก็ผ่านไปนานหลายแรมปีไม่เคยกลับมาให้เห็นสักครั้ง
ภายใต้การดูแลท่านตาของนาง ร่างกายของท่านตาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความกังวลที่เห็นชัดตรงหว่างคิ้วกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องกับเลี้ยงบุตรนั้นก็ยังถกเถียงกันอย่างไม่พักผ่อน
โชคดีที่ทั้งสองตระกูลได้ย้ายออกจากจวนกั๋วกงติ้งไปแล้ว อย่างน้อยเพื่อให้การเจรจาต่อท่านตาเป็นไปอย่างราบลื่น ต่างฝ่ายก็ต้องเอาเงินที่ติดค้างไว้ทั้งหมดคืนกลับมา เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็แอบแก่งแยงแข็งขันกันเป็นรายชื่อบุตรที่รับเลี้ยงของท่านตา
ส่วนเรื่องวางยาก็คงยังไม่พบรูปพรรณใดของผู้กระทำ
สามีของป้าจางและลูกดูเหมือนจะหายไปราวกับไอ ไม่มีเงื่อนงำใดเหลือแม้แต่น้อย
ในช่วงเวลานี้ คนจากวังก็มารายงานเช่นกัน โดยบอกว่าฝ่าบาททรงขอให้นางเร่งกลับวังโดยเร็วที่สุดหลังจากนางจัดการธุระเสร็จสิ้นแล้ว
เมื่อขันทีผู้ที่มารายงานจากไป เขายังได้เปิดเผยข่าวบางอย่างจากในวังให้นางฟังเป็นพิเศษ โดยบอกว่าในระหว่างที่นางไม่อยู่ เหยากุ้ยเหรินได้รับทรงเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแล้ว จนตอนนี้ฝ่าบาทก็ยังทรงโปรดปรานมากขึ้นไปอีก
ถ้านางยังไม่กลับวังอีก ภายในจะต้องเปลี่ยนไปราวกับพลิกแผ่นดินกลับเป็นแน่
คำพูดของขันทีผู้นี้ทำให้ลู่ยุ๋นหลัวนึกได้ทันทีว่านางยังมีที่ดินหลายร้อยหมู่ในตำหนักเย็น และก็ไม่รู้ว่าตอนที่นางไม่อยู่นั้น พืชไร่เกษตรของที่ดินตำหนักเย็นเป็นอย่างไรบ้าง ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยัดถุงเงินหักให้กับขันทีคนนั้นทันที "ขันที เจ้าพอจะรู้เรื่องที่ดินพืชไร่เกษตรของตำหนักเย็นบ้างรึไม่ ?"
หลังจากถามจบ นางเห็นได้ชัดว่าขันทีคนนี้ผงะไปเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่าประโยคไหนที่เขาเพิ่งพูดไปทำให้นายหญิงนึกถึงที่ดินพืชไร่เกษตรของตำหนักเย็น ?
แต่กระนั้นเขาก็ได้แต่ยิ้มและพูดกล่าว "นายหญิงวางใจ ที่ดินพืชไร่เกษตรของตำหนักเย็นเติบโตดีมาก มีการลาดตระเวนพิเศษทุกวัน นางข้าหลวงและขันทีก็ล้วนไม่ได้แอบอู้งานใดเลยพะยะค่ะ"
จากนั้นลู่ยุ๋นหลัวก็รู้สึกโล่งใจ
ท้ายที่สุดแล้ว ข้าวสาลีเหล่านี้ถือเป็นความหวังของคนทั้งอาณาจักรและไม่มีที่ว่างใดสำหรับความผิดพลาดทั้งสิ้น
"ขันทีซือ การเดินทางมาครั้งนี้คงลำบากแย่" ลู่ยุ๋นหลัวมอบถุงเงินหักให้อีกถุงหนึ่ง จนถือว่าเป็นการส่งแขกกลาย ๆ แล้ว
ขันทีซือดูเหมือนยังไม่อยากจากไป ดังนั้นเขาจึงลองหยั่งเชิงถาม "นายหญิง ท่านมีคำถามอะไรอื่นอีกที่ลืมถามรึไม่พะยะค่ะ ?"
ตัวอย่างเช่น เรื่องของฝ่าบาทและเหยากุ้ยเหริน ?
"ใช่ ๆ ๆ ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าคงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว" ลู่ยุ๋นหลัวตีไปที่หัวของนางเองอย่างแรงเพราะยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ยังไม่ได้รับสั่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น
รออัพค่าาาา...
รออัพเดทตอนใหม่อยู่นะคะ มาส่องทุกวัน รอทุกวันค่ะ...
อยากให้ท่านอ๋องเฉินเป็นพระเอกจัง ส่วนฮ่องเต้นั่น ก็คู่สนมเหยาเถอะ โปรดปราณกันจนาดนั้น...
ฝ่าบาทผีอะไรเข้าสิงมาอี้กกกก...
555555...
รวยๆๆๆๆๆ...
เอาแล้วววว 55555...
555555...
มาต่อหน่อยค่า...
รบกวนอัพต่อให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ...