ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 166

คุณหนูสามของหัวหน้ากระทรวงพิธีการเมื่อได้ยินเรื่องซุบซิบรอบตัวของนาง ใบหน้าของนางเดี๋ยวก็เป็นสีขาวเพราะละอายเดี๋ยวก็เป็นสีแดงเพราะความโกรธ จนในที่สุดก็กระทืบเท้าและเดินจากไป

ลู่ยุ๋นหลัวพาหยินซวางและแม่นมโจวซื้อของมามากมายจนขนาดที่ระหว่างทางต้องแวะเอาของกลับไปเก็บก่อน

เมื่อถึงตอนอาหารเที่ยง พวกนางทั้งสามก็ตั้งใจเลือกภัตตาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

ทั้งสามคนสั่งอาหารมาจนเต็มโต๊ะ จนสุดท้ายพบว่าอาหารเหล่านี้ถ้าไม่นึ่งก็ต้ม ถ้าไม่ต้มก็ตุ๋นทั้งหมด

แม้จะพูดได้ว่าพวกนางตอนอยู่ในตำหนักเย็นก็ไม่ได้ทานอาหารอันโอชะอลังการขนาดนั้น แต่ทักษะการทำอาหารที่ถูกลู่ยุ๋นหลัวอบรมฝึกฝนมาตั้งนานแล้ว

ขอแค่อ้าปากก็จะกลายเป็นมักเลือกทานอาหารแบบนี้ไปเอง

แม้แต่ในจวนของท่านผู้อาวุโส ก็ล้วนเป็นอาหารที่ตนเองทำขึ้นในครัว

ตอนนี้ อาหารที่มีอยู่จนเต็มโต๊ะไม่มีอาหารอะไรที่ดูน่าอยากรับประทานเลย

ลู่ยุ๋นหลัวรู้ดี ว่าในยุคราชวงศ์นี้การจะผัดอาหารธรรมดาสักอย่าง การใช้เพียงน้ำมันหมูอย่างเดียวคงไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสกัดน้ำมันพืชออกมาให้ได้

จากข้อมูลที่นางเข้าใจ ในยุคราชวงศ์นี้มีพืชน้ำมันจริง เพียงแต่ยังไม่พบพืชชนิดนี้สามารถใช้สกัดน้ำมันพืชมาทำอาหารได้ก็เท่านั้น

ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาลู่ยุ๋นหลัวก็จะรู้สึกเจ็บใจตลอด

เพราะเห็นโอกาสอันชัดเจนและร้อนแรงของธุรกิจแล้วธุรกิจเล่าต่อหน้านาง แต่นางไม่สามารถลงมือไปทำได้

ความรู้สึกนั้นเหมือนกับความรู้สึกที่นางรู้ว่านางมีเหมืองทองอยู่ในมิติพิเศษแต่ใช้ไม่ได้อย่างใดอย่างนั้น

เมื่อคิดถึงว่าตนเองจะต้องกลับวังในอีกไม่กี่วัน ลู่ยุ๋นหลัวก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก

รอจนข้าวสาลีในตำหนักเย็นงอกงามออกมาเมื่อไหร่ นางก็จะสำเร็จงานและเกษียณออกมาได้สักที

เพื่อที่จะวางแผนออกจากวังให้ได้

มิฉะนั้น เมื่อไหร่นางถึงจะหาเงินได้มากพอที่จะจัดตั้งกองกำลังของนางเองเพื่อสืบสวนคดีนั้นได้ล่ะ ?

นอกจากหยินซวางและแม่นมโจวข้างกายแล้ว นางก็ไม่มีใครที่จะใช้การได้อีก

พอกลับเข้าไปในวังก็คงเหมือนกับถูกขังในกรง

หากอยากที่จะเอากรงเล็บยื่นไขว่คว้าคดีเมื่อครึ่งปีก่อนไว้ นางก็ยังต้องสืบสวนแบบเทพไม่รู้ผีไม่รู้(เทพไม่รู้ผีไม่รู้ หมายถึง ทําเรื่องอย่างลับ ๆ โดยไม่มีใครรู้) ลู่ยุ๋นหลัวรู้สึกว่านางยังต้องมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก !

เมื่อพูดขึ้นมาถึงเรื่องท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิม ช่วงไม่กี่วันนี้นางเคยถามท่านตาเป็นการส่วนตัว ว่ามีเงื่อนงำอะไรบ้างหรือไม่ แต่ท่านตาของนางก็ได้แต่ส่งสายตาเตือนนางอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก และบอกนางว่าคดีนี้ฝ่าบาทได้ตัดสินคดีไปแล้ว และขอให้นางอย่าพูดถึงมันอีก

แม้แต่ท่านตาของนางก็ไม่สนับสนุนให้นางตรวจสอบ

ลู่ยุ๋นหลัวหดหู่พร้อมกับเขี่ยอาหารในจานที่อยู่ต่อหน้า 

แม้ว่าอาหารในภัตตาคารร้านนี้จะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่นัก แต่สภาพแวดล้อมที่นี่ค่อนข้างไม่เลวเลยทีเดียว บนเวทีสูง มีผู้หญิงบรรเลงเครื่องสายเพื่อให้ผู้คนได้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงที่วิจิตรไพเราะขณะรับประทานอาหาร

แต่ท่วงทำนองของเพลงนี้ ทำไมนางถึงยิ่งฟังก็ยิ่งคุ้นหู ?

"ราตรีหนาวสะท้านเพราะเจ้าปรารถนากลายเป็นสายน้ำ ชะล้างโคลนตมฤดูใบไม้ผลิ ปกป้องดูแลข้า... "

เสียงที่ไพเราะและสดใสก้องกังวานดังมาจากเวทีสูง ร่างของลู่ยุ๋นหลัวสั่นสะท้าน นางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเวทีสูงอย่างไม่เชื่อในสายตา

นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ? นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่รึไม่ ?

ผู้หญิงที่กำลังบรรเลงคนนั้นกำลังบรรเลงเพลงหนาวเหน็บ ?

มันเป็นเพลงประกอบละครในโทรทัศน์ของศตวรรษที่ 21 ชื่อเพลงว่า หนาวเหน็บ ไม่ใช่เหรอ ?

เมื่อผู้หญิงบนเวทีคนนั้นร้องบรรเลงเพลงจนจบ ผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็ต่างปรบมือโห่ร้องเสียงดัง แต่ลู่ยุ๋นหลัวกลับยังคงมีใบหน้าที่ตกใจ

ขนาดหยินซวางก็ยังยืนขึ้นปรบมือเช่นกัน

"นายหญิง เพลงที่ท่านเคยบรรเลงตอนนี้ได้รับความนิยมทั่วเมืองหลวงแล้วเพคะ บรรดาเหล่าคุณหนูของพวกขุนนาง ยังรวมไปถึงแม่นางหอนางโลมหลายแห่งก็ชื่นชอบเช่นกันเพคะ" หยินซวางกล่าวอย่างมีความสุข

นายหญิงของนางช่างเก่งกาจยิ่งนัก

แค่เพลงหนึ่งที่ใช้ในการแข่งขันดนตรีครั้งใหญ่ก็มีชื่อเสียงมากแล้ว สมกับเป็นนายหญิงของนาง

"ข้าบรรเลง ? ข้าไปบรรเลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ?" ในที่สุดลู่ยุ๋นหลัวก็กลับมามีสติอีกครั้ง

ครั้งเดียวที่นางบรรเลงนั้น ดูเหมือนจะเป็นตอนที่อยู่ในตำหนักซู่ซินของพระมหาราชวัง แต่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ที่นั่น จะเผยแพร่ออกไปนอกวังได้อย่างไร ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น