ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 170

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการเสียดสี

ลุงฟูผู้ดูแลจวนได้มองไปที่ลู่ยุ๋นหลัว จากนั้นก็ถอนหายใจยาวและส่ายหัวไม่พูดอะไรอีก

ลู่ยุ๋นหลัวแค่เห็นก็บอกได้ว่าทหารอารักขาในชุดสีดำดูเหมือนจะมีอคติต่อนางอย่างมาก

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมกับท่านอ๋องเฉินเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แต่พอมาถึงกลับพูดจาแขวะแบบนี้ทำให้คนรู้สึกไม่ชอบใจจริง ๆ

ลู่ยุ๋นหลัวถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ "วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่จวนของท่านอ๋องเฉิน ทำไมทหารอารักขาเจ้าถึงพูดจาเช่นนี้ ?"

ทหารอารักขาคนนั้นเหมือนจะได้ยินเรื่องตลกคำโตอะไร จนสีหน้าเปลี่ยนไปราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินพร้อมกับมองมาที่ลู่ยุ๋นหลัว

มาที่จวนท่านอ๋องเฉินเป็นครั้งแรก ?

นางคนนี้ช่างสามารถลืมตาพูดเรื่องไร้สาระได้จริง ๆ

อีกทั้งยังทำท่าที่ไม่เข้าใจแบบนั้นอีก ทำพูดอย่างกับเป็นเรื่องจริงอย่างใดอย่างนั้น

ผู้หญิงคนนี้ยังคงสีหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม !

แม้แต่ลุงฟูก็ยังมองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ลู่ยุ๋นหลัวเอียงศีรษะของนางด้วยสีหน้าที่สงสัย "เป็นอะไรไป ? หรือว่าแต่ก่อนข้าเคยมาที่จวนท่านอ๋องเฉิน ?"

นางจำไม่ได้จริง ๆ !

ได้โปรดพวกเจ้าเห็นใจข้าเถอะ รีบพูดสิ่งที่พวกเจ้ารู้ออกมาสักทีเถอะ !

นางกระวนกระวายจะตายอยู่แล้ว

เอาแต่มองนางไปจะมีประโยชน์อะไร !

"แน่นอนว่านายหญิงมาที่จวนท่านอ๋องเฉินนี้เป็นครั้งแรก !" เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง ท่านอ๋องเฉินในชุดคลุมฉลองพระองค์สีนวลขาวพระจันทร์เสี้ยว ดูหล่อเหลาและสูงศักดิ์

"เว่ยหลี เจ้ายังไม่ไปอีกรึ !" เสียงของท่านอ๋องเฉินราบเรียบแต่กลับแฝงด้วยแรงกดดันยากจะต้านทานได้

"พะยะค่ะ !" ทหารอารักขาในชุดสีดำมองไปที่ลู่ยุ๋นหลัวก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป

“เจ้าก็ออกไปก่อนเถอะ ลุงฟู”

เมื่อทั้งสองเดินแยกจากไป ภายในสวนก็เหลือเพียงลู่ยุ๋นหลัวและท่านอ๋องเฉินเพียงแค่สองคน

สายลมที่พัดผ่านพระเกศาอันดำเข้มของท่านอ๋องเฉินจนปลิวสยาย รูปร่างของเขาก็หล่อเหลาราวกับเทพเซียนในภาพวาด สง่างามแต่กลับเย็นชา

“ของขวัญขอบคุณนี้ข้ารับไว้แล้ว เจ้ากลับไปบอกท่านผู้อาวุโสและท่านชายซูเถอะ อันที่จริงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องกังวลก็ได้” ท่านอ๋องเฉินตรัสอย่างเฉยเมย

“เป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ? นี่เป็นถึงน้ำพระทัยที่ช่วยชีวิตไว้ หากไม่ใช่เพราะบัวโลหิตชั้นยอดของเสด็จลุงสาม เกรงว่าท่านตาของข้าคงตกอยู่ในอันตรายไปนานแล้ว”

หนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิตยังไงก็เป็นหนี้บุญคุณ จะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายดายไม่สนใจแบบนั้นได้ที่ไหนกัน

ดวงตาของนางจับจ้องไปที่พระพักตร์ที่หล่อเหลานั้น พระพักตร์ของเสด็จลุงสามก็ดูเหมือนจะไม่ซีดเผือดเหมือนเมื่อตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก

“เสด็จลุงสาม ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของท่าน…”

ลู่ยุ๋นหลัวไม่รู้ว่าจะถามอย่างไรดี

ท่านอ๋องเฉินก็ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจพร้อมกับพูดอย่างไม่สนใจ "เจ้ากำลังพูดถึงพิษในร่างกายข้าใช่ไหม ?"

ลู่ยุ๋นหลัวพยักหน้า

ตอนนี้ท่านอ๋องเฉินพระชนม์ก็ย่างเข้า 25 พรรษาแล้ว ถ้าเขาพระชนม์อยู่ได้ไม่ถึง 30 พรรษาจริง นั่นไม่เท่ากับว่าเขามีพระชนม์ได้อีกแค่ห้าปีหรอกรึ ?

“พิษนี้ได้ถูกถอนแล้ว” เขามองหน้านางโดยมีรอยยิ้มอ่อนอ่อนที่หางพระเนตรของเขา

"ถอนแล้ว ? งั้นก็ดีมากเลยเพคะ" ลู่ยุ๋นหลัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าตรัสเช่นนี้ ท่านอ๋องเฉินควรจะมีพระชนม์ได้ยืนยาวแล้วสิ ?

ทันใดนั้นพอคิดทบทวนอีกครั้ง ไม่ถูกสิ

ไม่ใช่ว่าเคยตรัสไว้หรอกเหรอว่าพิษนี้ถอนยาก ?

เป็นเวลานานกว่าหลายปีก็ไม่มีใครสามารถถอนพิษนี้ได้ ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ถอนพิษได้แล้วล่ะ ?

เมื่อนึกถึงตรงนี้นางก็มองเสด็จลุงสามด้วยแววตาที่สงสัย

ไม่ใช่ว่าเสด็จลุงสามหลอกนางอยู่หรอกใช่ไหม ?

พอลู่ยุ๋นหลัวคิดแบบนี้ก็อาศัยจังหวะท่านอ๋องเฉินไม่ทันระวังตัวคว้าข้อพระหัตถ์ของเขามาเพื่อแมะชีพจร

ดูเหมือนท่านอ๋องเฉินจะไม่แปลกใจกับการกระทำอันอุกอาจรวดเร็วของลู่ยุ๋นหลัว เขาเพียงแค่ยิ้มและปล่อยนางทำไป

เอ๋ ?

ดูเหมือนชีพจรของท่านอ๋องเฉินจะเป็นปกติ อย่าว่าแต่พระชนม์จะไม่ถึง 30 ปีเลย ต่อให้พระชนม์ถึง 70 80 ปีก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วยซ้ำ

พอพูดแบบนี้ พิษนี้ถูกถอนออกไปแล้วจริง ๆ หรือ ?

เมื่อเงยหน้าขึ้น นางก็บังเอิญสบมองเข้าไปในพระเนตรราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิของท่านอ๋องเฉิน

ระหว่างพระขนงและพระเนตรกลับมีความสง่างามอันเยือกเย็นราวกับภาพวาดและหยก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น