น้ำเสียงของเขาอันเย็นชาพร้อมกับแว่วเสียงแห่งความโกรธ
นางคนนี้ดูเหมือนจะเอาแต่คิดอยู่ตลอดว่าจะหนีหน้าเขาได้อย่างไร !
นางไม่เต็มใจที่จะพบเขาขนาดนี้ หลีกเลี่ยงเขาอย่างกับภัยพิบัติอย่างกับสัตว์ประหลาดเลยเหรอ ?
เมื่อเขาทรงนึกถึงการที่นางไปสถานที่อย่างหอชุนเฟิงเพื่อแสวงหาความสนุกสนานตามลำพังในตอนกลางคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้คำอธิบายแก่เขาเลย ความโกรธที่ทรงถูกระงับก่อนหน้านี้จะพุ่งขึ้นออกมาอีกครั้ง
ลู่ยุ๋นหลัวได้แต่แอบคิด
ชั่วแวบหนึ่งภายใต้จิตสำนึกอยากจะอาศัยจังหวะก่อนที่ชายคนนี้จะโมโหออกมารีบหนีห่างเพื่อรักษาชีวิตก่อน
แต่ชายคนนี้ยังจับคอเสื้อของนางเอาไว้อยู่ในมือ นางแม้แต่จะไปไหนสักก้าวก็ยังทำไม่ได้
นางไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมชายผู้นี้จะต้องโกรธอะไรมากขนาดนี้ด้วย ?
นางพิจารณาตัวเองอย่างรวดเร็ว
คงไม่ใช่เพราะเหตุว่านางกำลังจะหนีจากไปหรอกใช่ไหม ?
ต้องใช่สิ !
พ่อชุดเขียวคนนี้คือคนของหอชุนเฟิง !
ตอนนี้เงินแม้แต่แดงเดียวนางก็ยังไม่ได้ให้เขาเลย ก็ไม่แปลกที่เขาจะโกรธเป็นเรื่องธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่นางจากไปก็ไม่มีใครใช้บริการเขา !
ถ้าไม่มีใครใช้บริการ เขาก็หาเงินไม่ได้น่ะสิ !
ดังนั้นจึงไม่ไปปล่อยนางไป !
ยิ่งลู่ยุ๋นหลัวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น
จนตอนนี้นางก็แอบภูมิใจในความฉลาดเหมือนกับน้ำแข็งและหิมะ(ฉลาดเหมือนกับน้ำแข็งและหิมะ หมายถึง ฉลาดเป็นกรด)ของนาง
แม้ว่านางจะสูญเสียความทรงจำไป
แต่ความฉลาดของนางยังคงไม่ได้ลืมเลือนไปไหน
เมื่อทราบสาเหตุแล้ว นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก
ถึงอย่างไรบนตัวนางก็ยังมีตั๋วเงินอยู่บ้าง จะเหมาทั้งคืนก็มีปัญญาเหมา
ก็แค่ตั๋วเงินใบเดียวเองไม่ใช่เหรอ
ทันใดนั้นเสียงคำพูดปลอบใจก็ลอยออกมา “เอาล่ะ เลิกโกรธได้แล้ว ข้าไม่ไปไหนก็พอแล้วใช่ไหม คืนนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าเองเป็นไง”
จี้อู๋เจวี๋ยทรงจ้องที่นางเป็นเวลานาน นางคนนี้คิดว่าเขาโง่งั้นหรือ ?
เมื่อกี้ยังคิดจะหนีอยู่เลย พอตอนนี้จะมาบอกว่าคืนนี้จะอยู่เขา ?
คงไม่ใช่ว่านางจะเล่นแง่อะไรหรอกนะ ?
เมื่อลู่ยุ๋นหลัวเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร นางก็ยิ่งคิดว่าตนเองเดาถูกแล้ว นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พอรู้ที่มาของเรื่องก็จัดการง่ายขึ้นล่ะ
นางจับพระหัตถ์ใหญ่อีกข้างของจี้อู๋เจวี๋ยพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยราวกับดวงดาวแห่งจักรวาลที่ส่องแสง "ไปกันเถอะ ไปเดินเล่นกันซักพักก่อน"
พระวรกายของจี้อู๋เจวี๋ยก็สั่นไหวเล็กน้อย
พระพักตร์ของเขาซึ่งเคยทรงเคร่งขรึมและเย่อหยิ่งมาตลอด ในตอนนี้กลับกลายไม่เป็นอย่างปกติเช่นเคย
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงมือขวาที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก เรียบเนียนและบอบบางที่จับพระหัตถ์ของเขาอยู่
สัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้เขาทรงรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในพระหฤทัย
ความรู้สึกนี้เขาเองก็ไม่สามารถทรงอธิบายให้ชัดเจนได้
แต่กลับทำให้เขามีทรงมีความสุขเป็นอย่างมาก
ฝ่าพระหัตถ์ที่จับคอเสื้อของลู่ยุ๋นหลัวก็ค่อย ๆ คลายออก
เขาแบบนี้ก็เหมือนกับเด็กตัวโตที่ซุ่มซ่ามเอาแต่ใจอย่างใดอย่างนั้น ปล่อยให้ลู่ยุ๋นหลัวจูงมือเดินพาไปมารอบเมืองหลวงในช่วงกลางคืน
ลู่ยุ๋นหลัวรู้สึกแปลกใจและอยากรู้เกี่ยวกับตลาดในสมัยโบราณมาก
เมื่อได้เห็นสิ่งของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ในสมัยโบราณก็จะรู้สึกสนใจอยากรู้อยากเห็นทุกครั้ง
"เจ้าชอบอะไรเหรอ ? ข้าจะซื้อให้เจ้า" ลู่ยุ๋นหลัวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำตัวเป็นลูกค้าที่เหมาะสม
ในความเห็นของนาง บุคลิกของพ่อชุดเขียวคนนี้เป็นบุคคลที่น่าจะเป็นคนที่ชอบให้มีคนมอบของมีค่าแก่เขาแน่นอน
เหมือนนักธุรกิจผู้มั่งคั่งที่มักจะมอบกระเป๋าและเครื่องประดับให้คนรักของตัวเอง
จี้อู๋เจวี๋ยทรงจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตรัส "ข้าไม่มีของอะไรที่ชอบ"
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์และทรงเติบโตขึ้นมา เขาในฐานะมกุฎราชกุมาร ไม่ว่าเขาจะทรงชอบอะไร วันต่อมาก็จะมีคนเอามาถวายให้เขาต่อเบื้องพระพักตร์ตลอด จนเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ทรงพบว่าตนเองดูเหมือนจะไม่มีสิ่งของอะไรที่ทรงชอบพอเป็นพิเศษ
ลู่ยุ๋นหลัวก็เลยถือซะว่าคำพูดของเขานั้นแค่แสดงออกถึงความเกรงใจ
ก็เลยไม่ได้เอามาใส่ใจเช่นกัน
จากนั้นก็พาจี้อู๋เจวี๋ยไปที่ร้านขายเครื่องประดับ
ผนังของร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ประดับด้วยไข่มุกราตรีขนาดใหญ่หลายเม็ด แม้จะในเวลากลางคืน ภายในร้านค้าก็ยังสว่างไสวราวกับกลางวัน
"เถ้าแก่ เอาเครื่องประดับที่แพงที่สุดในร้านของเจ้าให้ข้าดูหน่อย" นางจะต้องเลือกเครื่องประดับสีทองเปล่งประกาย ที่เมื่อพ่อชุดเขียวเห็นจะต้องภูมิใจที่นางเป็นคนมอบให้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น
รออัพค่าาาา...
รออัพเดทตอนใหม่อยู่นะคะ มาส่องทุกวัน รอทุกวันค่ะ...
อยากให้ท่านอ๋องเฉินเป็นพระเอกจัง ส่วนฮ่องเต้นั่น ก็คู่สนมเหยาเถอะ โปรดปราณกันจนาดนั้น...
ฝ่าบาทผีอะไรเข้าสิงมาอี้กกกก...
555555...
รวยๆๆๆๆๆ...
เอาแล้วววว 55555...
555555...
มาต่อหน่อยค่า...
รบกวนอัพต่อให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ...