ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 194

พ่อหนุ่มทั้งห้าคนนี้ดูเหมือนจะตัดสินใจที่จะติดตามนางแล้ว !

ถ้าจัดการรับมือได้ไม่ดี จนเป็นเรื่องใหญ่โตก็คงจะไม่ดีสำหรับนางนัก

เมื่อนึกถึงพญามัจจุราชที่ประทับอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าในขณะนี้ ลู่ยุ๋นหลัวก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นไปอีก

หลังจากเดินอยู่บริเวณเรือนไปมาอยู่หลายรอบ นางก็ยังตัดสินใจที่จะเอาเรื่องนี้ทูลให้กับจี้อู๋เจวี๋ยเป็นคนจัดการ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็มั่นหน้าเดินเข้าไปในโถงด้านหน้าที่มีบรรยากาศหนาวเหน็บเย็นยะเยือก

หลังจากเข้ามาแล้ว ลู่ยุ๋นหลัวก็คุกเข่าลงตรงหน้าร่างเงานั้นพร้อมกับเสียงเข่ากระทบที่ดัง "ตุบ"

“ฝ่าบาท หม่อมฉันทำผิดมหันต์ไปแล้วเพคะ โปรดฝ่าบาททรงลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ”

ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีการเล่นลิ้น

ไม่ว่าจะเป็นยังไง การยอมรับผิดก่อนก็ถือว่าไม่เลว

เป็นอย่างที่คาดไว้

จี้อู๋เจวี๋ยแหงนพระพัตร์ขึ้นมาและกวาดพระเนตรมองไปที่นาง

เขาก็ทรงนึกไปเองว่านางจะเหมือนดั่งเช่นเมื่อวานที่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร

“งั้นเจ้าก็บอกมาว่าเจ้าผิดตรงไหน ?”

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ควรไปที่หอชุนเฟิงโหลวเพคะ”

ลู่ยุ๋นหลัวกล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย

ในความเป็นจริงนางก็ยังสงสัยในตัวเองอยู่

หอชุนเฟิงโหลวก็เป็นชื่อที่ปกติพบได้ทั่วไป แล้วนางไปสรรหาเจอได้เยี่ยงไร ?

ดูแค่ชื่อจะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่าเป็นหอนางโลมให้หญิงสาวในสมัยโบราณได้เสพสำราญ ?

"มีอะไรอีกไหม ?"

"มีอะไรอีก ?" ลู่ยุ๋นหลัวพยายามนึกย้อนกลับไป ไม่ใช่ว่าตอนที่จี้อู๋เจวี๋ยจับนางได้เมื่อวาน นางคงไม่ใช่ว่ากำลังเล่นจ้ำจี้กับชายหนุ่มพวกนั้นอยู่หรอกนะ ?

ลู่ยุ๋นหลัวเริ่มควบคุมจิตใจไม่ได้ขึ้นมา

ในการวิวัฒนาการมิติพิเศษคราวก่อน นางลงมือกระทำอันบ้าคลั่งเช่นนั้นไป

พอมาคราวนี้ นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองทำอะไรเลยเถิดไปไกลแค่ไหน

"ฝ่าบาท หรือว่าท่านจะลองเตือนสติหม่อมฉันสักหน่อยมั๊ยเพคะ ?" ลู่ยุ๋นหลัวคิดไม่ออกจริง ๆ

ประเด็นหลักเลยก็คือเมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นนางจำอะไรไม่ได้สักอย่างเลย

สายพระเนตรที่ทรงพินิจพิเคราะห์ของจี้อู๋เจวี๋ยที่ได้กวาดมองไปที่นาง ก็ได้ทรงถอนสายพระเนตรนั้นกลับมาและตรัสขึ้น "ลุกขึ้นเถอะ"

"ขอบพระทัย ฝ่าบาท !"

ลู่ยุ๋นหลัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นางเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าด่านที่ยากที่สุดจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

"ฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้นพวกเขา..." ลู่ยุ๋นหลัวชี้ออกไปข้างนอก

จี้อู๋เจวี๋ยทรงลุกยืนขึ้นด้วยพระพักตร์ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด "ขับไล่ออกจากเมืองหลวง"

ผลลัพธ์การลงโทษเช่นนี้ของจี้อู๋เจวี๋ยถือว่าทรงมีความเมตตามากแล้ว

“ฝ่าบาท หม่อมฉันยังมีเรื่องจะขออีกประการหนึ่งเพคะ”

จี้อู๋เจวี๋ยทรงเหลือบมองเพียงครู่ "เจ้าพูดมา !"

"ฝ่าบาททรงดูให้หน่อยเพคะ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เกิดขึ้นจากตัวหม่อมฉันด้วย ถ้าขับไล่พวกเขาให้ออกจากเมืองหลวงก็คงยากที่พวกเขาที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้ หม่อมฉันได้รู้จักกับผู้นำของค่ายชิงหลงนอกเมือง ถ้าเช่นไรให้พวกเขาไปที่ค่ายชิงหลง อยู่ที่นั่นเพื่อทำงานการเกษตรเพื่อยังชีพ จะเป็นเช่นไรบ้างเพคะ ?”

ลู่ยุ๋นหลัวพิจารณาคำพูดและกราบทูลอย่างระมัดระวัง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ยังไงคนเหล่านี้ก็ถูกลากมาเกี่ยวข้องอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะการวิวัฒนาการมิติพิเศษของนาง การที่พวกเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงเช่นนี้ อีกทั้งยังด้วยตัวตนและอาชีพที่ยากที่จะเปิดเผยเช่นนี้  หากขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปจริง เกรงว่าก็คงยากที่จะหาอาชีพเลี้ยงตนให้อยู่รอดได้

จี้อู๋เจวี๋ยขมวดพระขนง เขาเพิ่งจะทรงตระหนักได้ว่าประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำเกินไปจริง ๆ

นางเพิ่งออกจากวังได้ไม่กี่ 10 วัน แต่กลับรู้จักหัวหน้าโจรภูเขาที่อยู่นอกเมืองได้ ?

"แน่นอน ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ข้าก็จะอนุโลมให้" เมื่อเห็นจี้อู๋เจวี๋ยขมวดพระขนง ภายในใจของนางก็กระตุกเต้นไม่เป็นจังหวะ

หากพูดจาไม่มีเหตุผลแล้วก็คงยากที่จะน่าเชื่อถือ

เพียงแต่สิ่งที่จี้อู๋เจวี๋ยทรงดำริอยู่คือยากครั้งนักที่นางจะมาเจรจากับเขา หลังจากทรงครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยอมรับในทันที "ตามนั้น"

“รีบจัดเก็บข้าวของและตามข้ากลับวัง”

ถ้ายังไม่ให้นางกลับวัง บางทีนางคนนี้อาจจะสร้างปัญหาบางอย่างตามมาก็ได้

"ฝ่าบาท" ลู่ยุ๋นหลัวถกแขนเสื้อของนางไปมาพร้อมกับทำท่าน่างสารและกล่าว "หม่อมฉันยังมีสิ่งที่จะขออีกเรื่องเพคะ"

"พูดมา !"

"นั่นคือ...ก็คือ...หม่อมฉันยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการที่ค่ายชิงหลงสักหน่อย ฝ่าบาทพอที่จะให้หม่อมฉันจะกลับวังช้ากว่านี้อีกสองสามวันจะ..."

ลู่ยุ๋นหลัวมองไปที่พระเนตรคู่นั้นที่เย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ จนตนเองรู้สึกว่าคำขอของนางเองดูเหมือนจะมากเกินไป จนคำพูดในช่วงสุดท้ายก็ค่อย ๆ เบาจางหายไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น