ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 215

ใบหน้าที่แดงเมื่อสักครู่ค่อย ๆ กลับสู่ปกติ

เช่นนี้จะต้องให้นางอธิบายอย่างไร ?

มันยากที่จะพูด

“เอ๋ ? หน้าเจ้าไม่แดงแล้ว ?” จี้อู๋เจวี๋ยพระเนตรค้างไปชั่วขณะ

เขายื่นพระหัตถ์ออกไปอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสไปที่หน้าผากของนาง อุณหภูมินางตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ร้อนเท่าเมื่อสักครู่เลย

การเคลื่อนไหวของจี้อู๋เจวี๋ยที่ยื่นพระหัตถ์มาสัมผัสหน้าผากของนางเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้ฉลองพระองค์เปิดกว้างมากขึ้นไปอีก

พริบตาจุกดำ ๆ ก็ปรากฏมาทั้งหมดให้นางได้เห็น

ลู่ยุ๋นหลัวรู้สึกว่าจมูกของนางร้อนผ่าวเหมือนใกล้ที่เลือดกำเดาจะไหลออกมา

นางรีบปลีกออกจากอ้อมพระหัตถ์ของเขา

แย่แล้ว !

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางไม่ช้าก็เร็วจะต้องตายภายใต้ความหล่อเหลาของจี้อู๋เจวี๋ยเข้าสักวัน

หลังจากออกมาจากอ้อมอกของจี้อู๋เจวี๋ย นางก็ตะโกนออกไปข้างนอกประตูเพื่อรั้งเฉาจงฉวนที่กำลังจะจากไป

“ขันทีเฉา เจ้าไม่ต้องไปตามแพทย์หลวงแล้ว ร่างกายข้าสบายดี”

ถ้าต้องไปเรียกแพทย์ด้วยเรื่องเหตุผลแค่นี้ นางลู่ยุ๋นหลัวคงไม่มีหน้าที่ให้จะเสียอีกแล้ว

เจ้าจี้อู๋เจวี๋ยคนนี้ก็พอกัน ปกติเขาก็ไม่เห็นจะสนพระทัยอะไรนางขนาดนั้น ก็แค่วันนี้นางหน้าแดงขึ้นนิดหน่อยถึงกับเป็นห่วงต้องมาแตะเนื้อต้องตัวเลย

มันแปลกจริง ๆ

เฉาจงฉวนเมื่อเห็นว่าฝ่าบาทด้านในห้องไม่ได้ตรัสอะไร เฉาจงเฉวียนก็ปฏิบัติตาม

ภายในห้องก็กลับเงียบลงอีกครั้ง

หลังจากที่ลู่ยุ๋นหลัวกลับมา นางก็ยังยืนอยู่ที่ประตูอีกครั้งเหมือนเมื่อครู่และไม่กล้าเข้าไป

แต่คราวนี้มีเหตุผลอีกอย่างเพิ่มขึ้นมาหนึ่งข้อ คือนางกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ตอนนี้จี้อู๋เจวี๋ยช่างน่าเย้ายวนเหลือเกิน

ถ้าหากนางเผลอต้านทานต่อความหล่อเหลาอันเย้ายวนนั่นไม่ไหว จนความดุร้ายเผยโฉมออกมา...

ภาพฉากเหตุการณ์นั้นช่างดงามเหลือเกิน นางไม่กล้าแม้จะจินตนาการ

นางยืนอยู่ที่ประตูอย่างงุ่มง่ามโดยรักษาระยะห่างที่ค่อนข้างปลอดภัยจากจี้อู๋เจวี๋ย

จี้อู๋เจวี๋ยพระพักตร์บูดบึ้งและไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก

ผู้หญิงคนนี้ไม่เต็มใจที่จะใกล้ชิดกับเขาเหรอ ?

เขารู้ว่าแต่ก่อนนางรักเสด็จลุงสามมาโดยตลอด นี่ก็เวลาก็ผ่านมานานแล้วเขาเองก็ไม่เคยทรงบังคับอะไรนาง

ครั้งแรกที่ทรงพบนาง เขาก็แน่ใจว่านี่คือผู้หญิงที่จี้อู๋เจวี๋ยหมายตา

ในฐานะองค์จักรพรรดิ เขาย่อมรู้ดีว่าเขาต้องการอะไร

เมื่อรู้ว่านางถูกเขาขับให้ไปพำนักที่ตำหนักเย็นด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เป็นเวลากว่าครึ่งปีหลังจากที่เขาทรงไม่แยแสชายาเอกผู้นี้

เขาก็คิดที่อยากจะทรงชดเชยให้กับนาง

เขาให้เวลากับนาง

ให้ความความเคารพต่อนาง

นางแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าปรนนิบัติ เขาเองก็ได้แต่หลับพระเนตรข้างลืมพระเนตรข้าง

นางเปิดร้านแผงลอยภายในวัง เขาก็ทรงช่วยร่วมมือก่อความวุ่นวายกับนาง

นางปลอมเป็นขันทีในงานเลี้ยงเพื่อไปหาเสด็จลุงสาม เขาก็ทรงไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไร

แม้แต่ตอนที่นางไปหอชุนเฟิงโหลวเพื่อหาเหล่าโสเภณีชาย เขาก็ทรงอดทนมาได้

แต่พอมาถึงวันนี้ เขาทรงตามใจนางทุกวิถีทาง แต่ในสายตาของนางคนนี้กลับไม่มีแม้แต่เงาของเขาเลยสักส่วนเดียว !

พระพักตร์ของจี้อู๋เจวี๋ยทรงยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ พระวรกายที่เพรียวบางของเขาค่อย ๆ เข้าใกล้ลู่ยุ๋นหลัวท่ามกลางแสงเทียนที่สาดส่อง

ฉลองพระองค์ตรงช่วงอกก็ถูกถกออกมาเกินครึ่ง ตามอริยบถที่เขาทรงเดินมา ทรวดทรงอันเย้ายวนด้านในของเขาก็ค่อย ๆ ปรากฏแจ่มชัดขึ้น

พระพักตร์ที่ยุ่งเหยิงกับหล่อเหลาที่อาบย้อนแสง ทำให้มองไม่ชัดถึงอารมณ์บนพระพักตร์ของเขา

บรรยากาศของเขาที่กำลังทรงก้าวเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

จนกระทั่งเขาทรงต้อนนางให้ไปจนมุมที่มุมประตู

พระวรกายที่สูงของเขาก็ได้บังเส้นแสงที่อยู่ด้านหลัง

ลู่ยุ๋นหลัวถูกเงาของร่างสูงใหญ่นั้นปิดบังจนมิดที่มุมประตู

สองคนสี่ดวงตาที่สอดประสานกัน

หัวใจของนางเต้นแรงอย่างหยุดไม่ได้

ความหล่อเหลาอันงดงามเช่นนี้ใครจะไปต้านทานไหวกัน ?

นางรู้สึกว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณ(สามจิตเจ็ดวิญญาณ หมายถึง สติสัมปชัญญะ)ถูกจี้อู๋เจวี๋ยทรงพรากออกไปจากร่างของนางแล้วเกินครึ่ง

ถึงอย่างไร หัวใจของลู่ยุ๋นหลัวก็ยังคงเต้นโครมครามอยู่แม้ในตอนสุดท้าย อดทนไว้ !

แค่ไม่มองก็พอแล้ว

ดังนั้นนางจึงกลอกสายตาหันไปมองทางอื่น

จี้อู๋เจวี๋ยยิ้มสรวล "ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ชอบเมื่อได้เห็นข้า"

“ถึงอย่างไร จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า ช่วยข้าปลดเสื้อผ้าออกและปรนนิบัติทีสิ !”

น้ำเสียงของจี้อู๋เจวี๋ยกลับเย็นชาเป็นอย่างมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น