ลู่ยุ๋นหลัวจึงทำได้เพียงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับขันทีเฉา หวังว่าเขาจะจดบันทึกแต่เรื่องดี ๆ ลงไป
“คาราวะท่านอ๋องเฉิน” ลู่ยุ๋นหลัวย่อเคารพ
ท่านอ๋องเฉินกลับไม่มีท่าทีใดต่อขันทีเฉาที่กำลังบันทึกการสนทนาอยู่ด้านข้าง เขาทรงหยิบจดหมายส่งให้นางพร้อมกับตรัสด้วยเสียงที่นุ่มนวลไพเราะ “บิดาของเจ้าได้ขอให้คนส่งจดหมายฉบับนี้มาที่วังของข้าในคืนก่อนที่บิดาเจ้าจะถูกปลงชีวิต”
ท่านอ๋องเฉินทรงยื่นจดหมายให้กับนาง
“กว่าครึ่งปีที่ตัวข้าอ๋องผู้นี้ได้ออกจากเมืองหลวงจนกระทั่งสองวันก่อนที่ข้าได้กลับมา ถึงได้รู้ว่ามีจดหมายฉบับนี้ส่งมา ข้าหวังว่ามันจะไม่สายเกินไปที่ข้าจะส่งให้เจ้า”
จดหมาย ?
นี่คือสิ่งที่บิดาของเจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้ก่อนเสียไปงั้นหรอ ?
น่าเสียดายที่มันสายเกินไป !
ลู่ยุ๋นหลัวมีความหนักใจขณะที่รับจดหมายฉบับนั้นจากท่านอ๋องเฉิน “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง ท่านอ๋องเฉิน”
ท่านอ๋องเฉินทรงสรวลยิ้มจาง ๆ “เจ้าไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก”
หะ ?
เพียงลู่ยุ๋นหลัวเงยหน้ามองต้นเสียง กลับเพียงเห็นรอยยิ้มอันงดงามและอริยาบถที่กำลังเดินจากไป
มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ?
พูดอธิบายสักนิดก่อนไม่ได้รึไง ?
เดินจากไปง่าย ๆ เลย ?
ไม่จำเป็นต้องเกรงใจมันหมายความยังไงกันแน่ !
คำถามมากมายเกิดขึ้นอยู่ในใจลู่ยุ๋นหลัว
“ท่านอ๋องเฉิน เราได้เคยเจอกันมาก่อนมั๊ยพะยะค่ะ ?”
“เราไม่เคยเจอกันมาก่อน !”
ไม่เคยเจอกัน ?
ผีตัวไหนจะเชื่อเนี่ย !
ถ้าเราเคยเจอกันมาก่อนจริง นางก็ควรจะจำได้แม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับจำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้เลย ?
นางเกาศรีษะอย่างอดไม่ได้ หยินซวางจะต้องรู้เรื่องอะไรสักอย่าง นางกลับไปจะต้องถามเรื่องนี้ให้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น
ชอบเรื่องนี้มากนางเอกไม่อยากอยู่ในวัง..มาอัพต่อนะคะรออ่านค่ะ......
รออัพค่าาาา...
รออัพเดทตอนใหม่อยู่นะคะ มาส่องทุกวัน รอทุกวันค่ะ...
อยากให้ท่านอ๋องเฉินเป็นพระเอกจัง ส่วนฮ่องเต้นั่น ก็คู่สนมเหยาเถอะ โปรดปราณกันจนาดนั้น...
ฝ่าบาทผีอะไรเข้าสิงมาอี้กกกก...
555555...
รวยๆๆๆๆๆ...
เอาแล้วววว 55555...
555555...
มาต่อหน่อยค่า...