ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 40

หากคิดจะมาแย่งความโปรดปราณไปจากเสด็จพี่สอง ก็ยังคงถือว่าอ่อนหัดยิ่งนัก

จี้อู๋เจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกวาดสายตาที่เรียบเฉยแต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชามองกลับไปพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าถามหามีเรื่องอะไร ?”

ท่านอ๋องน้อยรุ่ยกระแอมในลำคอ “เช่นนี้เสด็จพี่สอง ข้าคิดว่าขันทีผู้น้อยคนนั้นค่อนข้างหลักแหลม ประจวบเหมาะกับที่จวนของข้าขาดบริวารที่เฉลียวฉลาดพอดี เสด็จพี่สองจะว่าอย่างไรหากส่งขันทีผู้น้อยนั้นมาที่จวนของข้า ?”

ท่านอ๋องน้อยรุ่ยพูดจบไม่ทันไร เฉาจงฉวนที่อยู่ข้างพระวรกายองค์จักรพรรดิก็ตัวสั่นทันควันด้วยความตกใจ

ท่านอ๋องน้อยรุ่ยเพียงเปิดปากพูดก็เหมือนกับจะเอานายหญิงของตำหนักในแย่งจากไปซะแล้ว อีกทั้งนางยังเป็นถึงที่โปรดปราณขององค์จักรพรรดิช่วงนี้ด้วย

เฉาจงฉวนทนไม่ไหวถึงกับปาดเหงื่อที่ไหลออกมาซึ่งแทนที่จะเป็นตัวท่านอ๋องน้อยรุ่ยเอง

“หลักแหลมและเฉลียวฉลาด ?” จี้อู๋เจวี๋ยสีหน้าเคร่งครึมขึ้นเล็กน้อย “เจ้าลองบอกข้าทีว่าหลักแหลมและเฉลียวฉลาดเยี่ยงไร ?”

ท่านอ๋องน้อยรุ่ยปลื้มปิติอยู่ในใจ เสด็จพี่สองไม่ได้ทรงปฏิเสธอะไร นั่นหมายถึงเรื่องนี้ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง

แต่สิ่งที่บอกว่าหลักแหลมและเฉลียวฉลาดก็เป็นเพียงข้ออ้างที่หยิบยกขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งถ้าถามว่าหลักแหลมเฉลียวฉลาดตรงไหนเขาก็คงจะตอบไม่ได้

ในเมื่อเสด็จพี่สองทรงถามมาแล้ว เขาก็ต้องอธิบายดีดีอย่างเป็นธรรมชาติ “เช่นนี้เสด็จพี่สอง การที่ข้าบอกว่าหลักแหลมและเฉลียวฉลาดนั้นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ซึ่งที่จริงแล้วข้ารู้สึกว่าขันที่ผู้น้อยนั่นหน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว ดูแล้วก็สบายตา เสด็จพี่สองก็ทรงรู้ดีว่าข้าค่อนข้างเข้มงวดกับข้าบริวาร ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะ...”

ท่านอ๋องน้อยรุ่ยยังไม่ทันพูดจบ จี้อู๋เจวี๋ยก็วางหมากในมือลงบนกระดานอย่างแรงด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง

ด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคืองและเงียบครึมนั้นก็แถบทำให้หัวใจท่านอ๋องน้อยรุ่ยหยุดเต้นไปได้ชั่วขณะ

เสด็จพี่สองทรงเป็นอะไรไป ?

เมื่อสักครู่เขาพูดอะไรผิดไป ?

จี้อู๋เจวี๋ยชำเลืองตามองไป “ข้าจำได้ว่า ในฐานะเจ้าที่มีจวนอ๋องอยู่แล้ว เจ้าน่าจะอยู่เมืองหลวงแห่งนี้นานเพียงพอแล้ว นี่ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่เจ้าควรต้องกลับมณฑลซ่างหยวนแล้วไม่ใช่รึ ?”

“เสด็จพี่สอง ไม่ใช่เพราะว่าเสด็จพี่สองเคยบอกหรอกเหรอว่าข้าจะพำนักที่ไหนก็ได้ ?” ท่านอ๋องน้อยรุ่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย  ว่าเหตุใดเสด็จพี่สองถึงไล่ท่านอ๋องน้อยรุ่ยกลับไปยังที่ดินของตนเอง

จี้อู๋เจวี๋ยยังคงส่งสายตามองเขาต่อไป “เจ้าไม่อยากกลับก็ไม่เป็นไร งั้นเจ้าก็เลือกบุตรสาวขององคมนตรีของสำนักราชการในพระองค์มาสักคนกับเลือกวันอภิเษกสมรสมาได้เลย”

อภิเษกสมรส ?

ถ้างั้นเขายอมกลับที่ดินของตนเองยังจะดีกว่า

แต่ต่อให้เขาเสด็จกลับที่ดินของตนเอง เขาก็จะต้องนำขันทีผู้น้อยคนนั้นกลับไปด้วย !

“ข้ากลับมณฑลซ่างหยวนก็ได้ แต่ว่าข้าจะต้องนำขันทีผู้น้อยคนนั้นกลับไปกับข้าด้วย !” ท่านอ๋องน้อยรุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

เขาไม่เชื่อว่าภายในใจเสด็จพี่สองขันทีผู้น้อยคนนั้นจะสำคัญไปกว่าเขา

เฉาจงฉวนยอมใจให้ท่านอ๋องน้อยรุ่ยเลยจริง ๆ

ทำไมจนถึงขณะนี้ถึงยังคิดไม่ออกอีกเหรอ

ว่าขันทีผู้น้อยคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย !

เพียงเขาพูดจบก็เป็นอย่างที่คาดไว้ จี้อู๋เจวี๋ยก็ส่งสายตาอันเย็นเยียบมองไปที่ท่านอ๋องน้อยรุ่ย “เจ้าถูกห้ามให้เข้ามาที่เมืองหลวงอีกเป็นเวลาหนึ่งปี !”

ท่านอ๋องน้อยรุ่ยตกตะลึง

ห้ามเขากลับมาที่เมืองหลวงอีกภายในหนึ่งปี ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?

“เจ้าไปได้แล้ว !” จี้อู๋เจวี๋ยจอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“เสด็จพี่สอง...” ท่านอ๋องน้อยรุ่ยราวกับมีบางอย่างที่จะพูด แต่เวลานี้เฉาจงฉวนได้มาถึงข้างกายพร้อมกับแสดงท่าทีถึงการส่งแขกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ข้าน้อยขอคารวะ เชิญท่านอ๋องน้อยรุ่ย !”

ในท้ายที่สุดท่านอ๋องน้อยรุ่ยไร้ซึ่งทางเลือกที่กลับได้แต่มองใบหน้าที่เรียบเฉยของจี้อู๋เจวี๋ยพร้อมกลับเดินออกจากตำหนักซู่ซินไปด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจ

ต่อให้เขาจะคิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังคงไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ว่าทำไมถึงถูกเสด็จพี่สองไล่กลับจวนอ๋อง ?

หลังจากที่เฉาจงฉวนส่งเสด็จท่านอ๋องน้อยรุ่ยไปแล้ว เขาก็พบขันทีหลู่จากห้องสำเร็จราชการ(ห้องสำเร็จราชการ คือห้องที่ไว้สำเร็จการจัดการดูแลเรื่องของขันทีและนางข้าหลวง รวมไปถึงการจัดการเรื่องของการประทับตำหนักขององค์จักรพรรดิ)มาถึงตำหนักซู่ซินพร้อมกับกระดานไม้สีแดง โดยที่ด้านบนมีแผ่นไม้สองแผ่นวางอยู่ แผ่นแรกคือหลันกุ้ยเหรินของวังหลิวหยุน ส่วนอีกแผ่นคือเหยากุ้ยเหรินของวังหลีเซี๋ย

เฉาจงฉวนหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยถาม “ทำไมถึงมีแค่สองแผ่น ?”

ขันทีหลู่ถามกลับด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าภายในวังแห่งนี้มีนายหญิงเพียงแค่สองท่านรึ ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น