พอนางกลับมาถึงตำหนักเย็นก็ได้กลิ่นหมั่นโถวลอยมาไกล ๆ
หยินซวางนางข้าหลวงคนนี้ช่างมีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร
นางเพิ่งสอนวิธีการนึ่งหมั่นโถวไปเพียงแค่สองสามครั้งนางก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
“นายหญิง ท่านกลับมาแล้ว นายหญิงรีบดูหมั่นโถวที่บ่าวเพิ่งทำเสร็จให้หน่อยว่าดีกว่าคราวก่อนมั๊ยเพคะ”
“นายหญิง ท่านกลับมาแล้ว นายหญิงรีบดูหมั่นโถวที่บ่าวเพิ่งทำเสร็จให้หน่อยว่าดีกว่าคราวก่อนมั๊ยเพคะ”
บนเตาในห้องครัวซึ่งมีหม้อนึ่งวางอยู่พร้อมกลับหมั่นโถวลูกใหญ่ที่อุ่นร้อนเห็นไอออกมา ทันใดนั้นลู่ยุ๋นหลัวก็นึกถึงขันทีเฉิงที่ห้องปรุงพระกระยาอาหารขึ้นมา
“หยินซวาง ข้าถามอะไรเจ้าอย่าง หมั่นโถวพวกนี้ ก่อนที่ข้าจะสอนเจ้าทำ เจ้าได้เคยกินหรือเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนรึไม่ ?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนพะยะค่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นอาหารสำหรับคนในวังหรือเพคะ ?” เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยินซวาง นางก็ไม่ทราบเช่นเดียวกันทำไมนายหญิงถึงถามนางเช่นนี้
“แล้วบะหมี่หละ ? ตอนอยู่ข้างนอกวังเจ้าเคยกินมั๊ย ?”
หยินซวางก็ยังคงส่ายหัวปฏิเสธ
“แล้วข้าวสาลีที่เราปลูกแถวตำหนักเย็นหละ ภายนอกวังเจ้าเคยเห็นมาก่อนมั๊ย ?” ตอนที่นางทะลุมิติเข้ามาครั้งแรกนั้น กลัวว่าจะต้องอดอยากหิวตายซะก่อน นางจึงปลูกข้าวสาลีบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของตำหนักเย็นไปเยอะพอสมควรและหวังเพียงอย่างเดียวว่ามันจะโตไวพอทีจะมีไว้กินในภายภาคหน้า
ภายหลังถึงได้รู้ว่าธัญพืชที่ปลูกในมิติพิเศษนั้นโตได้เร็วกว่าหลายเท่าตัว จึงเลือกที่จะบริโภคธัญพืชที่ปลูกจากในมิติพิเศษแทน
เมื่อถึงฤดูร้อนที่ไร้ซึ่งฝนใด พวกนางก็ได้แต่อาศัยการขุดชลประทานเพื่อใช้รดน้ำธัญพืชเหล่านั้น
ดูจากเวลาแล้วก็น่าจะใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
หยินซวางก็ยังคงส่ายหัวปฏิเสธขึ้นอีกครั้ง
นางทราบดีว่านายหญิงของนางสูญเสียความทรงจำ แต่ก็ไม่คิดว่าจะสูญเสียความทรงจำรุนแรงถึงขั้นนี้
ขนาดแต่ก่อนเคยกินอะไร ไม่เคยกินอะไรกลับจำไม่ได้เลยสักอย่าง
ลู่ยุ๋นหลัวก็ยังคงนำพืชผักผลไม้และธัญพืชต่าง ๆ ถามอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายนางก็ได้ข้อสรุปว่าของส่วนใหญ่ในมิติพิเศษของนางนั้นไม่ว่าพืชผักผลไม้ที่ปลูกในมิติพิเศษหรือบริเวณตำหนักเย็นนั้น ทั้งหมดล้วนไม่มีอยู่สมัยราชวงศ์นี้ทั้งสิ้น !
เมื่อนางได้เข้าใจพอสังเขป ถึงได้ค้นพบว่าการเกษตรในสมัยราชวงศ์นี้นั้นค่อนข้างล้าหลังอยู่มาก
โดยเฉพาะอาหารหลักนั้น นอกจากข้าวขาวแล้ว ก็จะเป็นจำพวกตะกูลถั่วเช่นถั่วเหลืองรวมไปถึงข้าวฟ่าง ในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ นางได้นำแป้งสาลี ข้าวโพด มันฝรั่งนำออกมาซึ่งแน่นอนยังไม่มีอยู่ยุคสมัยราชวงศ์นี้
ผนวกกับหยินซวางที่คิดมาโดยตลอดว่าอาหารเหล่านี้นั้นมีแค่เฉพาะในวังเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้สงสัยอะไร
ดังนั้นลู่ยุ๋นหลัวจึงพึ่งจะได้ทราบว่าผักผลไม้และธัญพืชทุกอย่างในมิติของนางนั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาล ซึ่งต่อให้ทองกี่พันชั่งก็มิสามารถประเมินมูลค่าได้
ยุคสมัยที่อาหารเป็นดั่งของสำคัญเทียมฟ้า ธัญพืชต่าง ๆ นั้นก็คือทุกสิ่งของผู้คนจริง ๆ
ในเมื่อช่วงนี้ไม่สามารถออกจากวังไปได้ งั้นทำไมไม่เอาพื้นที่เหลือใช้หลายร้อยหมู่ของตำหนักเย็นมาทำพื้นที่เกษตรกรรมเพาะปลูก ค่อย ๆ ผลักดันจนเป็นสมาคมการเกษตรหนึ่งเดียวในใต้หล้า และเมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยขยายออกไปยังอาณาจักรอื่น ๆ
ไม่ว่าจะในมุมมองของนางหรือของผู้คนนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอันยิ่งใหญ่ทั้งนั้น
สิ่งที่นางควรต้องทำในตอนนี้ คือการค่อย ๆ นำพืชพันธุ์การเกษตรมาทยอยปลูกในพื้นที่ตำหนักเย็นแห่งนี้
นางต้องการให้ผู้อื่นได้รู้ว่า พืชผักผลไม้และธัญพืชที่หาไม่ได้จากภายนอกนั้นที่จริงแล้วล้วนปลูกขึ้นจากที่ดินในตำหนักเย็น
ซึ่งนี่ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด
และแม้มีคนสงสัยก็คงยากที่จะพูดออกมาได้ เพราะตำหนักเย็นนั้นถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่ามายาวนาน พื้นที่ที่กว้างขวางเช่นนี้นอกจากห้องตำหนักไม่กี่แห่ง ที่เหลือก็แถบจะเป็นพื้นที่รกร้างทั้งสิ้น ใครจะรู้ว่าผืนดินแห่งนี้จะมีอะไรงอกออกมา
โดยสรุปของพวกนี้ถ้ามันไม่ได้งอกมาจากผืนดิน มันจะงอกขึ้นมาจากที่ไหนได้อีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น
รออัพค่าาาา...
รออัพเดทตอนใหม่อยู่นะคะ มาส่องทุกวัน รอทุกวันค่ะ...
อยากให้ท่านอ๋องเฉินเป็นพระเอกจัง ส่วนฮ่องเต้นั่น ก็คู่สนมเหยาเถอะ โปรดปราณกันจนาดนั้น...
ฝ่าบาทผีอะไรเข้าสิงมาอี้กกกก...
555555...
รวยๆๆๆๆๆ...
เอาแล้วววว 55555...
555555...
มาต่อหน่อยค่า...
รบกวนอัพต่อให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ...