“ห้ามเอาไปจำนำอีก ?” จี้อู๋เจวี๋ยตรัสเตือนพร้อมกับทอดพระเนตรไปที่นาง
“วางใจได้เลยเพคะ สนมอันไร้ประโยชร์ผู้นี้ไม่ได้โง่ขนาดนั้น !” ลู่ยุ๋นหลัวจับไปที่จี้หยกที่อยู่บนคอนาง
ถ้าตอนนั้นนางรู้ว่าจี้หยกนี้เป็นขององค์จักรพรรดิ นางคงไม่โง่เอาไปจำนำตั้งแต่แรก
จี้หยกขององค์จักรพรรดินั้นจะมีประโยชน์ทันทีเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ขับคัน และการเอาไปจำนำแลกเป็นตำลึงคือวิธีการที่โง่ที่สุดแล้ว
ซึ่งนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ขับคันที่ว่าสามารถใช้จี้หยกนี้ออกจากวังได้หรือไม่
ลู่ยุ๋นหลัวก็ได้แต่คิดว่าจะเอาจี้หยกนี้ไปลองใช้วันไหนดี
หลังจากจี้อู๋เจวี๋ยเสด็จกลับไป ลู่ยุ๋นหลัวก็ไปอาบน้ำล้างตัวกลับเข้าห้องของตัวเองและก็เข้าไปยังมิติพิเศษของนาง
ภายในมิติพิเศษทั้งหมดนั้นก็ดำเนินการไปอย่างอัตโนมัติ นางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีก
เริ่มจากชั้นวางของที่เริ่มจัดแบ่งหมวดหมู่ธัญพืช ผัก ผลไม้จนเต็มชั้นโดยอัตโนมัติ
อีกทั้งในมิติพิเศษนี้ก็ยังมีฟังก์ชั่นการคงความสดของอาหาร จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่อาหารจะเสียหรือบูด
นั่นจึงลดความกังวลและไม่ต้องเปลืองแรงงานไปได้เยอะ
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ
ลู่ยุ๋นหลัวเพียงชำเลืองหางตาก็พบเข้ากำดินประสิวกองอยู่ที่มุมหนึ่ง แววตาประกายขึ้นมาทันควันราวกับนางนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ ใช่แล้ว !
ทำไมนางถึงไม่วิจัยทดลองทำดินระเบิดในมิติพิเศษ ?
ภายในมิติพิเศษนี้ เพียงแค่นางคิดขึ้นมา อันตรายทุกอย่างนั้นนางก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด หรือต่อให้เป็นสถานการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นางก็ไม่น่าจะต้องคับขันลำบากขนาดนั้น
เมื่อนางคิดเสร็จก็ลงมือทำทันที
ลู่ยุ๋นหลัวก็ได้นำวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำดินระเบิดทั้งหมดเอามาไว้ภายในมิติพิเศษ จากนั้นก็เริ่มต้นการทดลอง ระหว่างที่ทำการทดลองนั้นนางพบว่าช่วงเวลาที่กำลังจะระเบิดนั้น นางจะรับรู้ล่วงหน้าได้ทันที และเพียงเมื่อใช้แค่ความคิดเสียงระเบิดก็ดังขึ้น แต่นางนั้นได้ย้ายไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยตั้งนานแล้ว
อีกทั้งนางยังพบว่า ไม่ว่าภายในมิติพิเศษนี้จะเสียงดังสักเท่าไหร่ ภายนอกกลับไร้ซึ่งเสียงและแรงสั่นสะเทือนโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่นางได้พบข้อสังเกตนี้ ลู่ยุ๋นหลัวก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเหมือนคนโง่คนหนึ่งเท่านั้น
สถานที่ที่ดีขนาดนี้กลับไม่ใช้ ดันออกไปใช้ข้างนอกมิติทำให้ตัวเองอันตราย
โง่ไม่มีใครเกิน
หลังจากที่จี้อู๋เจวี๋ยออกมาจากตำหนักเย็น แพทย์หลวงที่รออยู่ด้านนอกก็รีบเข้าไปติดตามองค์จักรพรรดิทันที
“เจ้าแมะชีพจรของนางแล้วเป็นเช่นไรบ้าง ?”
“กราบบังคมทูลองค์จักรพรรดิ หลังจากข้าน้อยได้แมะชีพจรของนายหญิงไป นายหญิงนั้นชีพจรปกติดี อวัยวะภายในและการไหลเวียนโลหิตนั้นไม่มีเลือดคั่งใดถือว่าปกติดีพะยะค่ะ”
พระบาทที่จี้อู๋เจวี๋ยกำลังทรงก้าวย่างก็หยุดลงทันที ที่เขาเลือกตำหนักเย็นวันนี้รวมไปถึงการนำแพทย์หลวงมาด้วยนั้นก็เพื่อที่จะตรวจดูอาการความทรงจำที่ขาดช่วงของนาง
แต่ไม่คิดมาก่อนว่าสมองของนางนั้นกลับไม่มีเลือดคั่งใด
แล้วความทรงจำของนางขาดช่วงไปได้อย่างไร ?
พระเนตรสีนิลก็พลันมีประกายสลัว “เจ้ากำลังหมายความว่า การที่นางความทรงจำขาดช่วงนั้นไม่ได้มาจากการที่นางเอาหัวโขกเสา ?”
“กราบบังคมทูลองค์จักพรรรดิ จากการแมะตรวจชีพจรของนางก็เป็นเฉกช่นที่กล่าวไปพะยะค่ะ เพียงแต่ทางเทคนิคแพทย์ของข้าน้อยอาจยังไม่ชำนาญมากพอ เลยไม่ทราบสาเหตุของนายหญิงที่แท้จริงว่าความทรงจำขาดช่วงไปได้เยี่ยงไร
“งั้นเจ้าทราบรึไม่ ว่านอกจากการกระทบกระเทือนของสมองแล้ว มีเหตุใดอื่นอีกที่ทำให้เกิดได้ ?”
แพทย์หลวงเฉินพิจารณาอยู่ครู่ก็เอ่ยปากกราบบังคมทูล “ถ้าพูดตามเหตุผล การที่ความทรงจำจะขาดช่วงหรือหายไปได้นั้นนอกจากการกระทบกระเทือนกับสมองโดยตรงและการกระตุ้นประสาทอย่างรุนแรงเป็นเวลานานแล้ว แต่สองเงื่อนไขนี้ถ้าไม่เคยเกิดขึ้นกับนายหญิง ก็คงมีเพียงแค่....”
เมื่อแพทย์หลวงเฉินกล่าวถึงตรงนี้เขาก็กลับมีท่าทีลังพร้อมกับคิดอยู่เพียงครู่ว่าควรจะพูดดีหรือไม่
“เจ้ารีบพูดมา !”
“มีข่าวลือว่าที่อาณาจักรหนานเจียงมีพิษอยู่ชนิดหนึ่ง ที่เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจะมีอาการความทรงจำขาดช่วง”
“หนานเจียง ?” จี้อู๋เจวี๋ยพระขนงก็ขมวดขึ้นทันทีพร้อมกับพระเนตรที่เย็นชา “เป็นหนานเจียงอีกแล้ว !”
แววพระเนตรค่อย ๆ ดำลึกขึ้น และเขาก็เสด็จจากไป
เพียงเช้าตรู่ของวันที่สอง ข่าวลือที่องค์จักรพรรดิเลือกตำหนักเย็นนั้นก็ได้แพร่งพรายออกไปยังทุกมุมของพระมหาราชวังแห่งนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น
รออัพค่าาาา...
รออัพเดทตอนใหม่อยู่นะคะ มาส่องทุกวัน รอทุกวันค่ะ...
อยากให้ท่านอ๋องเฉินเป็นพระเอกจัง ส่วนฮ่องเต้นั่น ก็คู่สนมเหยาเถอะ โปรดปราณกันจนาดนั้น...
ฝ่าบาทผีอะไรเข้าสิงมาอี้กกกก...
555555...
รวยๆๆๆๆๆ...
เอาแล้วววว 55555...
555555...
มาต่อหน่อยค่า...
รบกวนอัพต่อให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ...