ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 58

“ห้ามเอาไปจำนำอีก ?” จี้อู๋เจวี๋ยตรัสเตือนพร้อมกับทอดพระเนตรไปที่นาง

“วางใจได้เลยเพคะ สนมอันไร้ประโยชร์ผู้นี้ไม่ได้โง่ขนาดนั้น !” ลู่ยุ๋นหลัวจับไปที่จี้หยกที่อยู่บนคอนาง

ถ้าตอนนั้นนางรู้ว่าจี้หยกนี้เป็นขององค์จักรพรรดิ นางคงไม่โง่เอาไปจำนำตั้งแต่แรก

จี้หยกขององค์จักรพรรดินั้นจะมีประโยชน์ทันทีเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ขับคัน  และการเอาไปจำนำแลกเป็นตำลึงคือวิธีการที่โง่ที่สุดแล้ว

ซึ่งนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ขับคันที่ว่าสามารถใช้จี้หยกนี้ออกจากวังได้หรือไม่

ลู่ยุ๋นหลัวก็ได้แต่คิดว่าจะเอาจี้หยกนี้ไปลองใช้วันไหนดี

หลังจากจี้อู๋เจวี๋ยเสด็จกลับไป ลู่ยุ๋นหลัวก็ไปอาบน้ำล้างตัวกลับเข้าห้องของตัวเองและก็เข้าไปยังมิติพิเศษของนาง

ภายในมิติพิเศษทั้งหมดนั้นก็ดำเนินการไปอย่างอัตโนมัติ นางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีก

เริ่มจากชั้นวางของที่เริ่มจัดแบ่งหมวดหมู่ธัญพืช ผัก ผลไม้จนเต็มชั้นโดยอัตโนมัติ

อีกทั้งในมิติพิเศษนี้ก็ยังมีฟังก์ชั่นการคงความสดของอาหาร จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่อาหารจะเสียหรือบูด

นั่นจึงลดความกังวลและไม่ต้องเปลืองแรงงานไปได้เยอะ

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ

ลู่ยุ๋นหลัวเพียงชำเลืองหางตาก็พบเข้ากำดินประสิวกองอยู่ที่มุมหนึ่ง แววตาประกายขึ้นมาทันควันราวกับนางนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ ใช่แล้ว !

ทำไมนางถึงไม่วิจัยทดลองทำดินระเบิดในมิติพิเศษ ?

ภายในมิติพิเศษนี้ เพียงแค่นางคิดขึ้นมา อันตรายทุกอย่างนั้นนางก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด หรือต่อให้เป็นสถานการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นางก็ไม่น่าจะต้องคับขันลำบากขนาดนั้น

เมื่อนางคิดเสร็จก็ลงมือทำทันที

ลู่ยุ๋นหลัวก็ได้นำวัตถุดิบที่ใช้สำหรับทำดินระเบิดทั้งหมดเอามาไว้ภายในมิติพิเศษ จากนั้นก็เริ่มต้นการทดลอง ระหว่างที่ทำการทดลองนั้นนางพบว่าช่วงเวลาที่กำลังจะระเบิดนั้น นางจะรับรู้ล่วงหน้าได้ทันที และเพียงเมื่อใช้แค่ความคิดเสียงระเบิดก็ดังขึ้น แต่นางนั้นได้ย้ายไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยตั้งนานแล้ว

อีกทั้งนางยังพบว่า ไม่ว่าภายในมิติพิเศษนี้จะเสียงดังสักเท่าไหร่ ภายนอกกลับไร้ซึ่งเสียงและแรงสั่นสะเทือนโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่นางได้พบข้อสังเกตนี้ ลู่ยุ๋นหลัวก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเหมือนคนโง่คนหนึ่งเท่านั้น

สถานที่ที่ดีขนาดนี้กลับไม่ใช้ ดันออกไปใช้ข้างนอกมิติทำให้ตัวเองอันตราย

โง่ไม่มีใครเกิน

หลังจากที่จี้อู๋เจวี๋ยออกมาจากตำหนักเย็น แพทย์หลวงที่รออยู่ด้านนอกก็รีบเข้าไปติดตามองค์จักรพรรดิทันที

“เจ้าแมะชีพจรของนางแล้วเป็นเช่นไรบ้าง ?”

“กราบบังคมทูลองค์จักรพรรดิ หลังจากข้าน้อยได้แมะชีพจรของนายหญิงไป นายหญิงนั้นชีพจรปกติดี อวัยวะภายในและการไหลเวียนโลหิตนั้นไม่มีเลือดคั่งใดถือว่าปกติดีพะยะค่ะ”

พระบาทที่จี้อู๋เจวี๋ยกำลังทรงก้าวย่างก็หยุดลงทันที  ที่เขาเลือกตำหนักเย็นวันนี้รวมไปถึงการนำแพทย์หลวงมาด้วยนั้นก็เพื่อที่จะตรวจดูอาการความทรงจำที่ขาดช่วงของนาง

แต่ไม่คิดมาก่อนว่าสมองของนางนั้นกลับไม่มีเลือดคั่งใด

แล้วความทรงจำของนางขาดช่วงไปได้อย่างไร ?

พระเนตรสีนิลก็พลันมีประกายสลัว “เจ้ากำลังหมายความว่า การที่นางความทรงจำขาดช่วงนั้นไม่ได้มาจากการที่นางเอาหัวโขกเสา ?”

“กราบบังคมทูลองค์จักพรรรดิ จากการแมะตรวจชีพจรของนางก็เป็นเฉกช่นที่กล่าวไปพะยะค่ะ เพียงแต่ทางเทคนิคแพทย์ของข้าน้อยอาจยังไม่ชำนาญมากพอ เลยไม่ทราบสาเหตุของนายหญิงที่แท้จริงว่าความทรงจำขาดช่วงไปได้เยี่ยงไร

“งั้นเจ้าทราบรึไม่ ว่านอกจากการกระทบกระเทือนของสมองแล้ว มีเหตุใดอื่นอีกที่ทำให้เกิดได้ ?”

แพทย์หลวงเฉินพิจารณาอยู่ครู่ก็เอ่ยปากกราบบังคมทูล “ถ้าพูดตามเหตุผล การที่ความทรงจำจะขาดช่วงหรือหายไปได้นั้นนอกจากการกระทบกระเทือนกับสมองโดยตรงและการกระตุ้นประสาทอย่างรุนแรงเป็นเวลานานแล้ว แต่สองเงื่อนไขนี้ถ้าไม่เคยเกิดขึ้นกับนายหญิง ก็คงมีเพียงแค่....”

เมื่อแพทย์หลวงเฉินกล่าวถึงตรงนี้เขาก็กลับมีท่าทีลังพร้อมกับคิดอยู่เพียงครู่ว่าควรจะพูดดีหรือไม่

“เจ้ารีบพูดมา !”

“มีข่าวลือว่าที่อาณาจักรหนานเจียงมีพิษอยู่ชนิดหนึ่ง ที่เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจะมีอาการความทรงจำขาดช่วง”

“หนานเจียง ?” จี้อู๋เจวี๋ยพระขนงก็ขมวดขึ้นทันทีพร้อมกับพระเนตรที่เย็นชา “เป็นหนานเจียงอีกแล้ว !”

แววพระเนตรค่อย ๆ ดำลึกขึ้น และเขาก็เสด็จจากไป 

เพียงเช้าตรู่ของวันที่สอง ข่าวลือที่องค์จักรพรรดิเลือกตำหนักเย็นนั้นก็ได้แพร่งพรายออกไปยังทุกมุมของพระมหาราชวังแห่งนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น