ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 69

เหล่าจองหงวนที่คุกเข่าอยู่ ณ บัดนี้ต่างก็กลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่น

เนื่องจากทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าในวังตั้งแต่ช่วงเมื่อวานตอนบ่าย พวกเขาก็คุกเข่าอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ นี่ก็สามมื้ออาหารแล้วที่ไม่ได้ทานอะไรแม้แต่น้ำก็ไม่ได้ดื่ม ตอนนี้เพียงได้กลิ่นของซาลาเปาท้องไส้ก็ส่งเสียงดังขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

เมื่อได้ฟังสิ่งที่เฉาจงฉวนบอก ก็คงจะเป็นนายหญิงที่ถูกให้ไปพำนักตำหนักเย็นท่านนั้น ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่นางทำมาให้นั้นคืออาหารอะไรกันแน่ถึงได้หอมขนาดนี้

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะแหงนหน้ามองและได้แต่ก้มหัวพร้อมกับดมกลิ่นหอมที่อบอวลในอากาศได้อย่างเดียวเท่านั้น

จี้อู๋เจวี๋ยใช้เวลาไม่นานก็เสวยซาลาเปาลูกนั้นจนหมด รสชาตินั้นไม่เลวเลยทั้งอร่อยและสดใหม่ แถบจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดจานหนึ่งเลยก็ได้

เพียงแต่.....

ประกายของความสงสัยก็พลันปรากฏขึ้นในพระเนตรของเขาว่าอาหารชนิดนี้ใช้วัตถุดิบอะไรในการปรุง ?

เขาทรงคิดพินิจพิจารณาอยู่นานแต่ก็ทรงคิดไม่ออก

อย่างที่ทราบกันดีว่าข้าว ถั่วและข้าวโพดนั้นไม่สามารถที่จะทำอาหารชนิดนี้ออกมาได้เลย

“องค์จักพรรดิ นายหญิงนั้นยังทิ้งจดหมายไว้ให้ฉบับพะยะค่ะ” เฉาจงฉวนนำจดหมายที่วางในซอกตะกร้าออกมาให้ถวายให้กับจี้อู๋เจวี๋ย

จี้อู๋เจวี๋ยเมื่อทรงได้รับกระดาษแผ่นนั้นมาเขาก็กวาดทอดพระเนตรอ่าน ทันใดนั้นตัวเขาก็ทรงสั่นขึ้นทันทีอีกทั้งพระพักต์ยังแข็งกร้าวขึ้นอีก

“องค์จักรพรรดิ พื้นที่ตำหนักเย็นนั้นพบว่าสามารถปลูกผลิตธัญพืชจำพวกข้าวสาลีได้ 10 ชึ (10 ชึ ประมาน 600 กิโลกรัม)ต่อพื้นที่ 1 หมู่พะยะค่ะ !”

1 หมู่ปลูกผลิตได้ 10 ชึ !

ภายในพระเนตรของจี้อู๋เจวี๋ยก็ปรากฏคลื่นใต้ทะเลลึกที่ไร้ซึ่งแสงใดส่องถึง !

อย่างที่รู้กันว่าธัญพืชของอาณาจักรตงหลานนั้นไม่ได้มีหลากหลายชนิด อีกทั้งพื้นที่ 1 หมู่นั้นมากสุดปลูกผลิตธัญพืชได้ไม่เกิน 5 ชึเท่านั้น อีกทั้งไม่ใช่ว่าทุกพื้นที่จะสามารถเหมาะแก่การเพาะปลูกจำพวกข้าวได้

ดังนั้นกำลังปลูกผลิต 10 ชึต่อหมู่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของอาณาจักรตงหลานอย่างมาก

“ให้นางเข้ามา !”

จี้อู๋เจวี๋ยทรงลุกขึ้นและไพล่พระหัตถ์ไว้ที่ด้านหลัง เรื่องนี้นั้นไม่มีที่ว่างพอที่สามารถให้เอามาล้อเล่นได้ ยังไงเขาก็ต้องยืนยันให้ชัดเจนให้ได้ !

“กราบบังคมทูลองค์จักรพรรดิ นายหญิงกลับไปถึงตำหนักเย็นแล้วพะยะค่ะ !”

“ส่งคนไปเรียกนางให้มาเข้าเฝ้าทันที !”

“พะยะค่ะ !”

ลู่ยุ๋นหลัวมาถึงตำหนักเย็นได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกจี้อู๋เจวี๋ยรับสั่งให้เข้าเฝ้าทันที

เมื่อนางมาถึงห้องทรงตำรา ก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแรงกดดันภายในห้องนั้น

ส่วนบนพื้นนั้นมีเหล่าองคมนตรีกำลังคุกเข่าอยู่แล้ว

ห่างออกไปไม่ไกลบนพื้นก็พบกับเศษถ้วยชาที่แตกวางกองอยู่ไม่น้อย

เมื่อกวาดสายตาทอดออกไปก็พบองคมนตรีผู้หนึ่งซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดที่บัดนี้มีเลือดไหลออกมาจากศีรษะไหลจนลงมาปกปิดดวงตาอีกทั้งยังคุกเข่าอยู่เยี่ยงนั้นโดยที่ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย

ลู่ยุ๋นหลัวแอบตกใจและกังวลเกรงว่าจี้อู๋เจวี๋ยจะเอาความโกรธมาลงที่ตัวนาง นางจึงรีบฉีกยิ้มเข้าไปหาจี้อู๋เจวี๋ยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอคารวะองค์จักรพรรดิ”

จี้อู๋เจวี๋ยที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ก็ได้เหลือบพระเนตรมองมาที่ลู่ยุ๋นหลัว

นางวันนี้สวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน ส่วนทรงผมของนางนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้จัดทรงให้ดี เพียงแค่มัดไว้อย่างหลวม ๆ แค่นั้น แต่นั้นกลับทำให้เห็นถึงนิสัยบรรยากาศธาตุแท้ของนางออกมาได้อย่างชัดเจน

หลังจากถูกไอพวกกลุ่มเวรตลัยพวกนี้ทำให้ทรงขุ่นพระทัยมานาน เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้านั้นก็ทำให้อารมณ์ที่ขุ่นเคืองของเขาสลายหายไปได้มาก

สีพระพักต์ที่มืดหม่นของเขาก็ทรงผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ถูก “ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท !”

หลังจากนางลุกขึ้นยืน จี้อู๋เจวี๋ยก็ยังคงทอดพระเนตรไปที่นางอย่างไม่ลดละ “สนมคนโปรด บนกระดาษที่เจ้าเขียนทั้งหมด ว่าปลูกผลิตธัญพืชได้ 10 ชึต่อหมู่นั้นเป็นเรื่องจริงรึไม่ ?”

จี้อู๋เจวี๋ยตรัสประโยคสั้น ๆ จบไปได้ไม่นาน องคมนตรีด้านล่างที่โงนเงนไปมาก็ตัวสั่นขึ้นมาทันใด

ปลูกผลิตธัญพืชได้ 10 ชึต่อหมู่ ?

หรือนี่พวกเขาคุกเข่านานเกินไปจนประสาทหลอนจนได้ยินผิดรึเปล่า ?

โดยเฉพาะหวังซิ่งจือที่เป็นหัวหน้ากระทรวงครัวเรือนเมื่อได้ยิน “ปลูกผลิต 10 ชึต่อหมู่” ก็ทำให้เขาตัวแข็งถื่อทันที เพราะตัวเขานั้นที่เป็นถึงหัวหน้ากระทรวงครัวเรือนและทำหน้าที่จัดการดูแลคลังธัญพืชของบ้านเมือง เขานั้นย่อมต้องเข้าใจดีกว่าคนธรรมดาอยู่แล้วว่ากำลังปลูกผลิต 10 ชึต่อหมู่นั้นสำคัญเพียงใด !

ถ้าข่าวนั้นเป็นจริง นั่นเท่ากับว่าเป็นสิ่งที่ให้อาณาจักรตงหลานเรืองรองอย่างก้าวกระโดดไปอีก !

วินาทีนั้นเองเขาก็รวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อเงี่ยหูฟังบทสนทนาของจี้อู๋เจวี๋ยและลู่ยุ๋นหลัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น