ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 70

“กราบบังคมทูลฝ่าบาท สิ่งที่ข้าพูดนั้นล้วนเป็นจริงไปตามธรรมชาติ”

ในยุคสมัยนี้ 1 ชึมีน้ำหนักเท่ากับประมานกว่า 50 กิโลกรับ

หากคำนวณกำลังปลูกผลิตของข้าวสาลีต่อพื้นที่หนึ่งหมู่ก็จะได้ประมาณกว่า 500 กิโลกรัมโดยประมาณ ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่ากำลังผลิตต่อหมู่ของเกษตรกรในยุคนี้มีอยู่เท่าไหร่ แต่การที่ปลูกผลิตได้ 10 ชึต่อหมู่นั้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

“ตั้งแต่ปีก่อนที่ข้าพำนักอยู่ในตำหนักเย็นและหลังจากที่ข้าค้นพบธัญพืชชนิดนี้ ข้าก็ได้นำเอามันไปปลูกในพื้นที่รกร้างลงบนพื้นที่ประมาณ 2 หมู่จนตอนนี้มันก็ถึงขั้นสุกงอมดีแล้ว หากองค์จักรพรรดิไม่เชื่อ ฝ่าบาทจะเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยตัวพระองค์เองก็ได้เพคะ 1 หมู่จะปลูกผลิตได้เท่าไหร่เพียงทอดพระเนตรดูก็จะทรงรู้ได้เพคะ”

เรื่องแบบนี้ยิ่งพูดเยอะยิ่งไม่มีประโยชน์ แค่ไปดูด้วยตัวเองก็จะรู้ได้ทันทีว่านางนั้นพูดจริงหรือไม่

“อาหารที่เจ้าเพิ่งทำให้ข้ากิน ก็ทำมาจากข้าวสาลีที่เจ้าบอกใช่หรือไม่ ?” จี้อู๋เจวี๋ยเหลือบพระเนตรมองไปที่อาหารอวบอ้วนสีขาวชนิดนั้นในตะกร้าพร้อมกับตรัสถาม”

“กราบบังคมทูลฝ่าบาท ถูกต้องตามที่ฝ่าบาทตรัสมา อาหารทรงเหลี่ยม ๆ นั้นเรียกว่าหมั่นโถว ด้านในนั้นจะตันไม่กลวงทำให้ทานแล้วอิ่มท้อง รสชาตินั้นก็ไม่เลว ส่วนอาหารรูปร่างกลม ๆ นั้นเรียกว่าซาลาเปา ด้านในนั้นสามารถใส่ไส้ที่ตนชื่นชอบได้ อาหารทั้งสองนั้นง่ายต่อการพกพา อีกทั้งข้าวสาลียังสามารถเอาไปทำเป็นพวกแผ่นแป้งหรือแป้งก็ยังได้ พวกแผ่นแป้งและแป้งเมื่อตากจนแห้งก็ยังสามารถเก็บไว้ได้เป็นระยะเวลานาน” ลู่ยุ๋นหลัวค่อย ๆ อธิบายอย่างละเอียดถึงสรรพคุณและอาหารที่สามารถนำไปประกอบได้

ในขณะที่นางพูดลู่ยุ๋นหลัวก็ส่งสัญญาณให้ขันทีเฉานำซาลาเปาในตะกร้านั้นไปแจกจ่ายให้กับองคมนตรีคนละลูก ตอนที่นางมาถึงนั้นก็เตรียมเอามาให้ไว้เยอะ อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นฤดูร้อนขนาดนี้ หากวันนี้ทานไม่หมดพรุ่งนี้ก็เสียจนทานไม่ได้แล้ว งั้นก็ควรเอาไปแจกให้ทุกคนยังจะดีกว่า

เฉาจงฉวนหันไปสังเกตพระพักต์ขององค์จักรพรรดิก็ไม่ได้มีท่าทีทรงปฏิเสธแต่อย่างใด จึงเรียกนางข้าหลวงสองนางให้เอาของในตะกร้าไปแบ่งให้กับองคมนตรีคนละลูก

องคมนตรีเหล่านั้นตั้งแต่บ่ายของเมื่อวานจนถึงตอนนี้ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย เพียงเมื่อสักครู่ที่ได้กลิ่นหอมนั้นกระเพาะและลำไส้ต่างก็โหยหวนหิวขึ้นมาตั้งนานแล้ว

ในเวลานี้เองที่พวกเขาได้รับซาลาเปานุ่มนิ่มไว้ในมือและเมื่อได้กัดลงไปคำใหญ่

ภายใต้อาการที่ท้องไส้หิวกระหายจนได้ทานอาหารรสชาติล้ำเลิศนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันยากที่จะพรรณนายิ่งนัก

ราวกับได้ทานอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกมนุษย์อย่างใดอย่างนั้น อร่อยกว่าซุปถั่วและซุปข้าวไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

รสชาติของซาลาเปาเนื้อนั้นเกรงว่าชีวิตชาตินี้ก็คงจะยากที่จะลืมไปได้

หวังซิ่งจือ หัวหน้าของกระทรวงครัวเรือนเมื่อได้กัดซาลาเป้าเนื้อที่อยู่ในมือลงไปเบ้าตาก็เอ่อล้นน้ำใส ๆ ขึ้นมาทันที

ปลูกผลิตธัญพืช 10 ชึต่อหมู่ !

นั่นมันเป็นเรื่องจริง !

พสกนิกรของอาณาจักรตงหลานผาสุกแล้ว !

ผ่านไปชั่วครู่ จี้อู๋เจวี๋ยก็ทรงสั่งคนไปที่ซือหนงซื่อ(ซือหนงซื่อ หมายถึง กระทรวงเกษตรฯ)เพื่อเรียกเจ้าหน้าที่การเกษตรมาหา แถวขบวนนี้มีทั้งนางข้าหลวงและขันทีได้เคลื่อนไปที่ตำหนักเย็นทันที

บริเวณด้านหลังเขาของตำหนักเย็น ประกายสีทองอร่ามผืนใหญ่ของข้าวสาลีก็ได้สาดแสงส่องเข้าไปดวงตาทุกคู่ที่จ้องมอง

เวลานั้นเป็นช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่นางได้เริ่มลงมือปลูกจนถึงตอนนี้ก็เป็นปลายเดือนสิงหาคมแล้ว พื้นที่สองหมู่ที่ปลูกข้าวสาลีบัดนี้ก็ได้เปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา รวงเข้าวสาลีที่เรียงเม็ดกันอยู่เต็มก็อ่อนโค้งโน้มตัวลงไปตามแรง

พื้นที่รกล้างด้านหลังภูเขาตอนนี้ได้สะดุดตาเป็นพิเสษ

ข้าวสาลีเหล่านี้สุกงอมได้ที่แล้ว

เมื่อเพ่งมองไปยังผืนแผ่นดินสีทองนี้ก็เป็นไปได้มากที่จะมีธัญพืชปริมาณ 10 ชึต่อหมู่จริง

เจ้าหน้าที่การเกษตรของวัดซื่อหนงเมื่อได้เห็นสีทองของข้าวสาลีก็ดีใจกันยกใหญ่ ต่างคนก็เริ่มนำเครื่องมือของตนเริ่มลงมือศึกษาอย่างละเอียด

จี้อู๋เจวี๋ยบัดนี้ได้ทรงยืนอยู่ด้านข้างทอดพระเนตรมองไปยังผืนดินสีทองสุดลูกหูลูกตาด้วยใบหน้าที่กลับมีความมืดสลัวค่อย ๆ มาปกคลุม

ข้าวสาลีนี้กับข้าวธรรมดาเมื่อสุกดีส่วนใหญ่ก็ลักษณะเหมือนกันจะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่าธัญพืชชนิดนี้นั้นสามารถทานได้

แต่สิ่งที่น่าแปลกมากคือนางสามารถทำอาหารอันละเอียดอ่อนและรสชาติขนาดนั้นออกมาได้อย่างไร ?

หากยังไม่ต้องพูดถึงนาง แต่เป็นความสามารถพ่อครัวของห้องปรุงพระกระยาอาหารก็ยังไม่สามารถเทียบระดับถึงขั้นนี้ได้เลย

จี้อู๋เจวี๋ยยังทอดพระเนตรมองไปยังเงาเบื้องหน้าที่ไร้การเคลื่อนไหวใดและดำดิ่งนึกคิดลงไปขึ้นเรื่อย ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น