ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 71

แม่นางคนนี้ ไม่เพียงแค่สามารถเข้าใจศาสตร์ของดวงดาวจนสามารถทำนายสภาพอากาศอีก 2 วันข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ แต่ยังเข้าใจวิธีการจัดการปัญหาภัยแล้งอีก จนมาวันนี้ที่นางนำมาซึ่งข้าวสาลีธัญพืชชนิดใหม่ผลผลิตสูง

แม่นางแบบนี้ต่อให้ใช้เวลาอีกกี่สิบปีก็ไม่มีทางที่จะอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูออกมาได้แบบนี้แล้ว

แต่จากการสืบสวนของเป้ยหมิงนั้นนอกจากความสัมพันธ์กับเสด็จลุงสามแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก

ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้กันดี ว่าบุตรสาวคนโตของจวนอัครมหาเสนาบดีนั้นไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง (หมายถึง ไม่เคยออกนอกบ้านติดต่อกับบุคคลภายนอก) จึงเป็นกุลสตรีที่มีฐานะสูงศักดิ์ที่อ่อนโยนนุ่มนวลและยึดติดกับวังวนของความรัก

แต่นอกจากเขาที่คลุกคลีสัมพันธ์กับลู่ยุ๋นหลัว ก็มีเพียงแค่ความเสน่หาของเสด็จลุงสามเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาเทียบได้อีกแล้ว

ความลึกลับซับซ้อนในตัวนางนั้นนับวันก็ยิ่งแต่จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากมั่นใจยืนยันได้ว่าข้าวสาลีพวกนี้สุกงอมดี เจ้าหน้าที่การเกษตรก็มีคำสั่ง ให้เหล่าขันทีและนางข้าหลวงหยิบอุปกรณ์การเกษตรเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเหล่านั้นในพื้นที่สองหมู่ให้หมดในช่วงเช้า

หลังจากชั่งน้ำหนักประมาณเบื้องต้น กำลังปลูกผลิตนั้นก็ถึงสิบชึอยู่จริง

ข่าวนี้ยิ่งทำให้ตื่นเต้นมากกว่าเก่า

ต้องทราบอย่างก่อนว่าอาหารหลักของอาณาจักรตงหลานนั้นก็คือข้าว ข้าวโพด และจำพวกถั่ว โดยข้าวโพดนั้นมีกำลังผลิตโดยประมานอยู่ที่ 3 ชึต่อหมู่ ส่วนข้าวนั้นกำลังปลูกผลิตจะสูงกว่าข้าวโพดโดยประมาณอยู่ที่ 5 ชึต่อหมู่ ด้วยเงื่อนไขการเพาะปลูกที่มีอย่างจำกัด ด้วยเหตุนี้ ธัญพืชของอาณาจักรตงหลานจึงเพียงพอที่เลี้ยงปากท้องเพียงแค่ไม่ให้อดอยากมาเป็นเวลายาวนาน จึงมีประชาชนไม่น้อยที่หันไปทานถั่วเป็นอาหารหลัก แต่เมื่อภัยพิบัติแล้งมาถึง ถั่วธัญพืชนี้ก็หาทานไม่ได้อีกต่อไป

ดังนั้นภัยแล้งต่อเนื่องกว่าสามเดือนนี้จึงมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก

วันเดียวกันในช่วงดึก องค์จักพรรดิได้เรียกเหล่าเจ้าหน้าที่การเกษตรจากซือหนงซื่อให้เข้ามาในวังเพื่อปรึกษาหารือตลอดทั้งคืน และหลังจากที่พวกเขาได้ลองทานหมั่นโถวที่ทำมาจากธัญพืชชนิดนี้ ทุกคนต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าธัญพืชนี้จะสามารถเข้ามาแทนข้าวโพด อีกทั้งเมื่อเทียบกับข้าวแล้วก็ยังมีข้อดีอยู่อีกมาก

ข่าวที่ดินของตำหนักหนักเย็นที่มีกำลังปลูกผลิต 500 กิโลกรัมก็แพร่สะพัดออกไปทั้งวังเพียงระยะเวลาแค่ข้ามคืน

และเมื่อข่าวที่ว่าองค์พรรดิทรงยอมรับเรื่องธัญพืช ก็ยิ่งทำให้ข่าวนี้แพร่ราวกับลมพัดจนออกไปภายนอกวัง

ทั้งฝ่ายราชการและประชาชนในและนอกวังต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยิน

ถ้ามีธัญพืชเหล่านี้จริงตามที่ได้ยิน นั่นก็นับว่าเป็นของขวัญฟ้าสวรรค์ประทานที่มีต่อประชาชนของอาณาจักรตงหลาน

เพียงไม่ทันไรราคาธัญพืชเดิมที่มีแต่เพิ่มสูงขึ้นก็กลับมีแนวโน้มปรับตัวลง

เหล่าผู้คนต่างพากันซุบซิบพูดถึงเรื่องนี้กันหนาหู

พวกเขาต่างก็เฝ้ารอให้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มาถึงมือพวกเขาในเร็ววัน

ภายในราชสำนัก ทุกคนต่างอภิปรายกับหัวข้อข้าวสาลีนี้กันอย่างน้ำไหลไฟดับ

อย่างแรก ข้าวสาลีนี้ใครควรรับผิดชอบหน้าที่ในการปลูก ปลูกอย่างไร ปลูกที่ไหน ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นปัญหาใหญ่อย่างยิ่ง

อย่างที่รู้กันดีว่าใต้หล้านี้ก็มีเมล็ดธัญพืชชนิดนี้อยู่ไม่ได้มากมาย หากปลูกพลาดไป ใครจะรับผิดชอบ ? และใครจะรับผิดไหว ?

อีกทั้งเมื่อได้เผชิญกับเมล็ดธัญพืชชนิดใหม่นั้น คงไม่มีใครรู้ได้ว่าสภาพอากาศที่เหมาะสมและสภาพดินที่ต้องการของเมล็ดคืออะไร ปัญหาเหล่านี้ก็คงต้องให้คนของวัดซื่อหนงค่อย ๆ ศึกษาวิจัยกันต่อไป

หัวข้อสุดท้าย เป็นเจ้าหน้าที่การเกษตรที่ยื่นมติเสนอมา เนื่องจากข้าวสาลีนี้ถูกพบที่บริเวณตำหนักเย็น นั่นเท่ากับว่าข้าวสาลีนี้เหมาะกับสภาพดินของตำหนักเย็น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความปลอดภัย ทางที่ดีครั้งถัดไปก็ควรเริ่มปลูกที่ตำหนักเย็นก่อน

มติหัวข้อนี้จึงเป็นที่เห็นชอบขององคมนตรีส่วนใหญ่ ปัญหาที่ดินเพาะปลูกก็ถูกคลี่คลายไปแล้วหนึ่ง แต่ปัญหายังอยู่ที่ควรส่งใครไปเพื่อทำการเพาะปลูกต่างหาก ?

อย่างที่ทราบกันดีว่าหากจะไปยังตำหนักเย็นนั้น จะต้องผ่านตำหนักใน ซึ่งโดยปกติแล้วนอกจากขันที นางข้าหลวงและองค์จักรพรรดิแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจ

ดังนั้นคนที่จะรับผิดชอบไปยังตำหนักเย็นได้ก็มีแต่อิสตรีเท่านั้น

อย่าว่าแต่วัดซื่อหนงเลย ขนาดจองหงวนในราชสำนักที่เป็นอิสตรีสักคนก็ยังไม่มีสักคน

วินาทีนั้นเองที่ทุกคนต่างก็รู้สึกลำบากเดือดร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น