องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน นิยาย บท 206

จากนั้นหลี่จุ่นก็ร่ายกลอนประโยคที่สามและสี่ตามมา

“กลีบใบบางมิรู้ใครตัดแต่ง ลมยามวสันต์เดือนสองดุจดั่งกรรไกร”

ไม้สูงแต่งกายราวสาวงาม ผ้าผูกผมสีมรกตนับหมื่นห้อยระย้า

กลีบใบบางมิรู้ใครตัดแต่ง ลมยามวสันต์เดือนสองดุจดั่งกรรไกร

หวังเหลียนนั้นเริ่มลงมือจดบันทึก รอคอยที่จะอ่านออกมาเป็นกลอนต่อกันอย่างใจจดใจจ่อ

“ไม้สูงแต่งกายราวสาวงาม ผ้าผูกผมสีมรกตนับหมื่นห้อยระย้า กลีบใบบางมิรู้ใครตัดแต่ง ลมยามวสันต์เดือนสองดุจดั่งกรรไกร... ลมยามวสันต์เดือนสองดุจดั่งกรรไกรหรือ แม้จะเป็นกลอนต้นหลิว แต่ก็สามารถแปลความเป็นต้นวสันตฤดูได้เช่นกัน ดีเหลือเกิน เขียนได้ดีนัก !”

หวังเหลียนเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงันนี้ เขาเอ่ยชื่นชมอย่างไม่คิดปิดบัง

บทกลอนนี้ไม่เพียงรักษาความสง่างามไว้ได้ดี แต่ยังทำให้ต้นฤดูใบไม้ผลินั้นราวกับมีชีวิตขึ้นมาในทันที !

เดิมทีที่เป็นเพียงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ต้นไม้เพิ่งผลิดอกออกใบ เพียงครู่เดียวราวกับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต

นี่ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อได้เลยจริง ๆ

อีกทั้งเมื่อฟังดูแล้วยังเข้าปากมากอีกด้วย

คนจำนวนไม่น้อยพากันพึมพำเสียงเบาขึ้นมาทันที

รัชทายาทเองก็เช่นกัน ตอนนี้เขาเองก็กำลังสัมผัสถึงกลอนบทนี้อย่างตั้งใจ

มีเพียงหลี่เจิ้งเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองหลี่จุ่นโดยไร้ซึ่งสีหน้าอารมณ์ใด ๆ ราวกับว่ามิได้พินิจว่ากลอนบทนี้ดีพอหรือไม่

กลอนบทนี้ร่ายจบลงแล้ว

ฮองเฮายังคงตื่นตะลึงจนขวัญหาย แม้ว่านางจะรู้สึกว่ากลอนบทนี้แต่งได้ดียิ่งนัก แต่นางมิได้มีสิทธิ์ตัดสินว่ากลอนบทนี้ดีพอหรือไม่ มีเพียงหลี่เจิ้งและไท่ฟู่เสิ่นคั่วเท่านั้นที่สามารถเอ่ยปากตัดสินได้ นางจึงรีบหันไปมองหลี่เจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ทันที

ทว่า เมื่อนางเห็นว่าหลี่เจิ้งกลับมิได้มีท่าทีว่าต้องการเอ่ยอันใด จึงรีบหันกลับไปมองเสิ่นคั่วทันที เพื่อพบว่าเสิ่นคั่วยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งบทกลอน

ในใจของนางถึงกับดำดิ่งลงทันที

ในตอนนี้เองที่ดวงตาคู่งดงามของหลี่เหวินจวินแสดงความประหลาดใจพลางพึมพำกับตัวเอง

“บทกวีต้นหลิวนั้นมีไม่น้อย กวีในราชวงศ์ก่อนหน้าก็มีบทกลอนที่ชื่อว่า ‘วาโยพริ้วพัดเมฆมรกต’ ต่อมายังมี ‘ใบหลิวเขียวขจีพริ้วไหวทั่วเจียงหนาน’ ของสวีจือเว่ยแห่งแคว้นหนาน แต่เมื่อเทียบกับกลอนบทนี้ของน้องหกแล้ว ภาพรวมของบทกลอนทั้งสองนี้ดูขาดความโดดเด่นไปไม่น้อย... เกรงว่าบทกลอน ‘ต้นหลิว’ ของน้องหกบทนี้คงเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของบทกลอนต้นหลิวที่มีอยู่ในตอนนี้แล้วละ ”

สีหน้าของหลี่จ้งกับหลี่เฉียนดูบอกบุญไม่รับในทันที

พวกเขาย่อมต้องฟังออกว่าบทกลอนนี้ไม่ธรรมดา ชนิดที่เรียกได้ว่ากลอนบทนั้นของเจียงเฟิงไม่อาจสู้กลอนบทนี้ของหลี่จุ่นได้

ถ้าอย่างนั้นองค์รัชทายาทต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ !

“บทกลอนนี้เป็นอย่างไรบ้างหรือองค์ชายรัชทายาท ท่านพอใจหรือไม่” ในยามที่เหล่าผู้ชมพากันดื่มด่ำอยู่ในอารมรืของบทกลอนอยู่นั้น เสียงหัวเราะของหลี่จุ่นกลับดังขึ้นกะทันหัน

บทกลอน ‘ต้นหลิว’ ของเฮ่อจือจางนั้นเป็นที่ชื่นชมของผู้คน ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเนิ่นนาน ถูกยกให้เป็นบทกลอนอมตะในการบรรยายถึงต้นฤดูใบไม้ผลิและต้นหลิว แล้วจะธรรมดาได้หรือ

ยิ่งเมื่ออยู่ในยุคสมัยนี้ ต้องเรียกได้ว่าเป็นความตื่นตะลึงของวงการบัณฑิตเป็นแน่ !

รัชทายาทมองไปยังหลี่จุ่นด้วยสายตาสับสน ริมฝีปากขยับราวกับว่าต้องการจะพูดอะไร แต่เสียงหัวเราะของหลี่จุ่นกลับขัดขวางการพูดของเขา ซ้ำยังพูดขึ้นอีก

“องค์ชายรัชทายาทอยากสนิทสนมกับข้ามาโดยตลอดมิใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าก็จะทำให้องค์ชายรัชทายาทได้เห็นส่าข้ามีคุณสมบัติที่จะสนิทสนมกับท่านหรือไม่”

คำพูดเช่นนี้หมายความว่า... จะเปิดศึกกับรัชทายาทอย่างชัดเจนอย่างนั้นหรือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชาย(ไม่)เอาถ่าน