ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 105

สรุปบท บทที่105 เปลี่ยนแปลง: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน

ตอน บทที่105 เปลี่ยนแปลง จาก ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่105 เปลี่ยนแปลง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน ที่เขียนโดย ฝูเชิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

พูดถึงขั้นนี้แล้ว พ่อครัวฟ่านเป็นคนที่รักศักดิ์ศรียิ่งชีพ จะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง

แค่พยักหน้าพูดว่า “ใช่”

“งั้นดี!” ผู้ดูแลร้านช่ายกลับหลังหันไปพูดกับพนักงานว่า “ไปคิดเงินเดือนให้กับพ่อครัวฟ่าน!”

พนักงานเบิดตาโพลง “ผู้ดูแลร้าน พ่อครัวท่านนี้เป็นพ่อครัวหลักของภัตตาคารเฟิ่งหลายเชียวนะ!” ตอนนี้ยังไม่มีคนที่เหมาะสมมาทำงานแทนที่เลย แถมด้านนอก ยังมีคนไม่น้อยที่จับตามองภัตตาคารเฟิ่งหลาย

หากพ่อครัวฟ่านออกไป คงมีร้านอื่นขอให้เข้าไปทำงานแน่……

“ข้าบอกให้เจ้าไปก็ไปสิ!” ผู้ดูแลร้านช่ายพูดเสียงเข้ม พนักงานร้านก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้วกลับหลังหันเดินออกไป

พ่อครัวฟ่านโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เลยนะเมื่อก่อนใช่ว่าเขาจะไม่เคยใส่อารมณ์ แต่ทุกครั้งผู้ดูแลร้านช่ายก็ยอมตลอด แต่มาครั้งนี้ เขากลับยอมเสียสละเขาเพื่อผงเครื่องเทศสิบสามชนิดอะไรนั่น

เขารีบเดินออกไปอย่างไม่พอใจ ขนาดเงินค่าจ้างก็ยังไม่เอาแล้ว

ผู้ดูแลร้านช่ายตามไปแล้วตะโกนพูดว่า “เดี๋ยวข้าให้พนักงานส่งเงินไปให้ท่าน ถ้าท่านคิดได้แล้ว ภัตตาคารเฟิ่งหลายยินดีต้อนรับท่านกลับมาเสมอ”

พ่อครัวฟ่านไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ

รอคนเดินออกไปไกลแล้ว ผู้ดูแลร้านช่ายก็มองลู่ม่านอย่างอับอาย “ต้องขออภัยแม่นางด้วย แม่นางอย่าถือสาเลย”

ลู่ม่านส่ายหน้า “คนในที่ทำงาน ไปๆมาๆเยอะแยะเป็นเรื่องปกติ ข้ารู้สึกว่าผู้ดูแลร้านช่ายท่านดูมีพลังนะ พนักงานที่ได้รับความใส่ใจจนให้ความสำคัญตัวเองผิด ก็ไม่ต้องฝืนเก็บไว้ทำงานต่อหรอก เดี๋ยวครั้งหน้าจะเกิดปัญหาได้”

เรื่องนี้ผู้ดูแลร้านช่ายรู้ดีแก่ใจ ที่เขาตัดใจได้ขนาดนี้ ก็เพราะไม่อยากเป็นกังวลอีก เรื่องที่พ่อครัวฟ่านจะทิ้งงานในเวลาสำคัญ ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้วด้วย

เรื่องวุ่นวายนี้ก็จบลงไปด้วยดี ลู่ม่านทำอาหารอีกครั้งแล้วเรียกพนักงานร้านไปเสิร์ฟ หลังจากนั้นเห็นว่าไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว นางจึงบอกลากับผู้ดูแลร้าน

หลังจากออกมาจากภัตตาคารเฟิ่งหลาย ท้องฟ้าก็มืดมากแล้ว ลู่ม่านนั่งบนเกวียนแล้วยกรถเข็นของเฉินจื่ออานขึ้นมา ทั้งสองขับไปถึงหน้าประตูเมืองช้าๆ

เพิ่งถึงหน้าประตู ก็เห็นรถเกวียนอยู่ถนนข้างๆ

เฉินหลี่ซื่อ เฉินจื่อฉายและเฉินหลิ่วเอ๋อยืนอยู่ข้างถนน ทั้งสามพิงอยู่ด้วยกัน มีลมพัดมาแรง ได้ยินเสียงเฉินหลี่ซื่อพูดรางๆว่า “จื่อคัง วันนี้สอบเป็นยังไงบ้าง?”

ลู่ม่านก็ถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดูท่าแล้วเฉินจื่อคังพวกเขาคงจะเพิ่งกลับมาจากอำเภอ

แต่ว่า ทำไมถึงหยุดอยู่ตรงนี้ล่ะ? กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเฉินจื่อคังพูดอย่างไม่พอใจขึ้นมา “แม่ ตั้งใจกลับมาแม่ท่านถามข้ากี่ร้อยครั้งแล้ว”

“ก็ได้ๆ แม่ไม่ถามแล้ว” ความอดทนของเฉินหลี่ซื่อมีให้แค่เฉินจื่อคังกับเฉินหลิ่วเอ๋อเท่านั้น มีแค่ตรงนี้ที่จะได้เห็นความอบอุ่นของความเป็นแม่ของนาง

“ที่บ้านตุ๋นขาหมูที่เจ้าชอบกินไว้ให้ ตอนเช้าก่อนจะออกบ้านข้าให้พี่สะใภ้รองของเจ้าตุ๋นไว้ให้ ตอนนี้ต้องอร่อยมากแน่ๆ อากาศหนาว รีบขึ้นรถกลับบ้านกันเถอะ”

“ข้าไม่ขึ้น!” เฉินจื่อคังมองดูรถอย่างรังเกียจ “ตอนเช้าข้าให้เตรียมรถดีๆมาหน่อย รถเกวียนเล่มนี่ทั้งเก่าทั้งเสีย จะนั่งยังไง?”

ลู่ม่านมองดูเฉินจื่อคังอย่างตกตะลึง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เฉินจื่อคังจะปลอมแต่ก็ยังเสแสร้งด้านการกระทำอยู่บ้าง ทำไมตอนนี้แค่เสแสร้งก็ยังไม่ยอมทำแล้วล่ะ?

หรือว่ามั่นใจจนลอยแล้วเหรอ?

เฉินจื่ออานอดไม่ได้ขมวดคิ้ว ก็ได้ยินลู่ม่านถามอย่างสงสัยว่า “วันนั้น จื่อคังไปถามอะไรอาจารย์โจวเหรอ?”

เฉินจื่ออานส่ายหัว “ก็แค่เรื่องงานเขียน ไม่มีอะไรมาหรอก”

น่าสงสัยจริงๆ หรือว่าจะเขาจะมีความสามารถจริงๆ? เมื่อก่อนเก็บซ่อนไว้ เพราะตอนนั้นยังไม่มีโอกาสออกหน้าออกตา ตอนนี้รู้ว่าตัวเองจะสอบได้แล้ว ดังนั้นเลยไม่ยอมเสแสร้งอีก

เฉินจื่ออานขมวดคิ้ว รู้สึกผิดหวังต่อเฉินหลี่ซื่ออย่างมาก “แม่ท่านจะทำอะไร?”

“อ้อ รถเกวียนของพวกเราเสียแล้ว ของพวกเจ้าเป็นคันใหม่พอดี พวกเราคนเยอะขนาดนี้ เจ้าก็เอาเกวียนของพวกเราไป พวกเจ้าก็ไปนั่งคันนั้นก่อน”

ลู่ม่านแทบจะหัวเราะกับคำพูดของนาง “รถเสียแล้วทำไมต้องให้พวกเราไปนั่งด้วย?”

“ก็เพราะข้าเป็นแม่ของจื่ออาน! เจ้าบอกให้เขาพูดเอง จะยอมเป็นลูกอกตัญญูไหม!”

เฉินหลี่ซื่อนี่น่ากลัวจริงๆ แค่ไม่ยอมทำตามก็ต้องถูกเรียกว่าลูกอกตัญญูแล้ว โชคดีที่ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วไม่มีคนเดินผ่าน ถ้าเป็นตอนเช้า นางพูดแบบนี้กับเฉินจื่ออาน ในยุคโบราณเห็นชื่อเสียงสำคัญกว่าชีวิต เฉินจื่ออานจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปยังไง?

สีหน้าของเฉินจื่ออานแย่ลง เฉินจื่อฉายก็เข้ามาพูดว่า “ข้าไม่นั่ง พวกเจ้าขึ้นไปนั่งเลยก็ได้”

“เจ้าไม่มาแล้วใครจะขับเกวียน!” เฉินหลี่ซื่อพูดเสียงแหลม

ลู่ม่านแสยะยิ้มเย็นชา “พี่ใหญ่พูดถูก รถของจื่ออานก็ต้องให้เขาขับเอง!”

“ไม่ได้!” เฉินหลี่ซื่อรีบตอบโต้ “แล้วจื่อคังของข้าจะทำยังไง?”

ความคิดของเฉินหลี่ซื่อไม่ต้องพูดก็รู้ดีอยู่แก่ใจ นางอยากนั่งรถคันใหม่ของเฉินจื่ออาน แต่ก็ไม่อยากให้เฉินจื่อคังรู้สึกเหมือนกำลังพึ่งพาคนอื่น ดังนั้น ถึงได้อยากครอบครองรถของผู้อื่น

เฉินจื่ออานรู้สึกปวดใจแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าเป็นพี่สามของจื่อคัง หากแม่ต้องการขึ้นรถ จื่อคังก็ขึ้นรถของข้าได้ จื่อคัง แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ?”

เฉินจื่อคังได้ยินแล้ว สีหน้าก็มืดมนลงทันที ถ้าก่อนหน้านี้เขาทำให้ขาของเฉินจื่ออานบาดเจ็บ เขาจึงรู้สึกผิดและกลัวเฉินจื่ออานอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาเห็นเฉินจื่ออานเชิญอาจารย์โจวกลับมาบ้านได้ ความรู้สึกนั้นก็กลายเป็นความอิจฉาไปแล้ว

แต่ว่า เขารู้สึกจริงๆว่า เฉินจื่ออานไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่นอน ดังนั้นถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน