ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 111

ลู่ม่านอดไม่ได้หัวเราะแล้วพูดว่า “ไหนเจ้าว่าโกรธเขาอยู่ไง? แล้วยังจะช่วยเขาดูแลต้นไม้อีก?”

จ้าวหลินชะงักพูดไม่ออก กัดฟันกรอดอย่างเหนื่อยใจ ลู่ม่านรีบเปลี่ยนประเด็น “เย็นนี้ข้าจะทำหม้อไฟกิน!”

ลู่ม่านพูดคำนี้ ไม่เพียงแค่จ้าวหลิน ยังมีท่านอู๋ ขนาดเซวียนเหนียงที่เพิ่งออกมาจากห้องก็อึ้งไปชั่วขณะ มีเพียงเฉินจื่ออานที่มองดูลู่ม่านอย่างเอ็นดู

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหม้อไฟคืออะไร แต่เห็นลู่ม่านทำอาหารอร่อยๆได้มากมาย เฉินจื่ออานก็ไม่มีความรู้สึกแปลกใจเหมือนตอนแรกแล้ว

เขามีแค่ความรู้สึกเดียว นั่นก็คือขอแค่เป็นฝีมือลู่ม่าน ต้องอร่อยแน่นอน

ยังมีท่านอู๋ที่รู้สึกตัวเร็วกว่าคนอื่น เขาถามอย่างสงสัยว่า “หม้อไฟคือสิ่งใด?”

ลู่ม่านพูดด้วยรอยยิ้ม “หม้อไฟก็คือหม้อไฟไง! ใช้ไฟอ่อนๆต้มไปด้วย แล้วกินไปด้วย รอข้าทำออกมาแล้ว ท่านก็จะรู้เอง”

ไม่มีน้ำมันวัว แต่ลู่ม่านมีเครื่องเทศที่เพิ่งกลับมาจำนวนมาก ดังนั้นต้มกระดูกหมูเป็นซุป แล้วใส่พริกเข้าไปเพิ่ม ไม่นานภายในหม้อก็เริ่มแดงขึ้น

ท่านอู๋มองดูซุปสีแดงนั้นอย่างแปลกใจ “นี่กินได้แล้วเหรอ?”

“ยังกินไม่ได้!” ลู่ม่านเตรียมผักที่จะกินกับหม้อไฟ รวมไปถึงพวกเนื้อหมูสามชั้นกับเนื้อแพะ ในใจรู้สึกดีงามมาก!

เดิมทีนางคิดว่าตัวเองอยู่ในยุคก่อนราชวงศ์ถังจะไม่ได้กินพริกแล้วเสียอีก ใครจะรู้ว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนก็ได้กินแล้ว

หม้อไฟที่นางสั่งทำคล้ายกับหม้อไฟปักกิ่งแบบเก่าในยุคปัจจุบัน ตอนที่เตรียมซุป ลู่ม่านก็เรียกเฉินจื่ออานเตรียมเผ่าถ่านแล้วโยนเข้าไป

ไฟแรงมาก ไม่นานก็จุดขึ้นมาได้

ลู่ม่านรีบใส่ซุปลงไป แล้วเอาผักกับเนื้อที่เตรียมไว้ไปวางบนโต๊ะ

พวกเขาล้อมวงที่โต๊ะอาหาร ทุกคนมองดูลู่ม่าน ไม่รู้ว่าจะกินยังไงดี ลู่ม่านยิ้มแล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อจากนั้นก็โยนลงไปในหม้ออย่างเฉยชา

จากนั้นก็เตรียมน้ำจิ้ม

น้ำจิ้มก็มีน้ำส้มสายชู ลู่ม่านเตรียมไว้ให้พวกเขา เพราะยังไงนี่เป็นการกินพริกครั้งแรก ลู่ม่านกลัวว่าพวกเขาจะรับไม่ไหว

หลังจากที่เตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ซุปในหม้อก็เดือดปุดๆ ลู่ม่านคีบเนื้อเข้าปาก

อื้ม……อร่อยมาก

รสชาติเผ็ดที่ห่างหายไปนานในชีวิต เปิดทุกต่อมรับรสของลู่ม่าน โดยเฉพาะพริกที่แคสเอามา ระดับความเผ็ดสูงมาก ลู่ม่านกินแล้วสะใจมาก

เห็นลู่ม่านกินอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาก็ไม่รู้สึกกลัวอีก

เฉินจื่ออานจับตะเกียบคนแรก ตอนนี้เขารู้สึกยกย่องภรรยาตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คำแรกก็ทำเอาเฉินจื่ออานตกตะลึง

“นี่มันรสชาติอะไรกัน ทำไมถึงแปลกขนาดนี้?”

ลู่ม่านเม้มปากมองดูริมฝีปากที่เผ็ดจนแดงก่ำของเฉินจื่ออาน “นี่คือรสเผ็ด!”

เมื่อก่อนรสเผ็ดไม่ใช่ว่าไม่เคยกิน เหล้าขาวก็มีรสเผ็ดเหมือนกัน แต่กลับแตกต่างไปจากรสชาติของพริกอย่างสิ้นเชิง แต่ว่า ภรรยาชอบขนาดนี้ เฉินจื่ออานก็รู้สึกว่าเขาควรจะลองสักหน่อย

หลังจากดื่มน้ำหนึ่งแก้ว เฉินจื่ออานก็ทำใจกินอีกคำ

ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อยปาก ที่แท้เสน่ห์ของพริกก็อยู่ตรงนี้นี่เอง

กลับกับท่านอู๋กับเฉินจื่ออานไม่เหมือนกัน ท่านอู๋คงเป็นนักกินมาตั้งแต่เกิด ดังนั้น หลังจากที่ลู่ม่านกินคำแรก ไม่นานเขาก็เริ่มกินแล้ว

เผ็ดก็ต้องเผ็ดอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เผ็ดแล้ว เขาก็ยิ่งกินยิ่งกล้า ลู่ม่านรู้สึกว่า ถ้าแข็งกินพริกจริงๆ ลู่ม่านคงต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาเป็นแน่

มีเพียงจ้าวหลิน แค่กินไปคำเดียวก็หน้าแดงก่ำแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้ากินอีกเลย

ลู่ม่านเห็นเขาเหมือนจะมีตุ่มแดงขึ้นตามตัว ก็ไม่กล้าให้เขากินอีก ตอนโลกปัจจุบัน ก็มีคนแบบนี้เหมือนกัน มีอาการแพ้รสชาติเผ็ด ขอแค่เผ็ดเล็กน้อยก็ทนไม่ไหวแล้ว

เรื่องแบบนี้จะบังคับกันไม่ได้ ยังดีที่เมื่อกี้นางกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะเซวียนเหนียง ร่างกายของนางไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงตั้งใจเหลือซุปที่ไม่ใส่พริกไว้ นางตักซุปนั้นให้กับจ้าวหลิน

กลับกันเซวียนเหนียง คนที่นางคิดว่ากินเผ็ดไม่ได้ แต่เซวียนเหนียงแทบจะเทียบกับท่านอู๋ได้เลย

สุดท้าย หม้อไฟนั้นพวกเขากินซะส่วนใหญ่ หลังจากกินหมดแล้ว ท่านอู๋ก็ยังอารมณ์ค้างอยู่ “ของใหม่ๆที่เจ้าบอกก็คืออันนี้เหรอ?”

“ใช่ เป็นยังไงบ้าง?” ลู่ม่านพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังดีที่จ้าวหลินเอาพริกมาด้วย”

จ้าวหลินที่อยู่ข้างๆเงียบไม่พูด คอของเขายังแสบร้อนจนถึงตอนนี้อยู่เลย

“ไม่เลวเลย!” ท่านอู๋พูด “แต่ว่า พวกเขาไม่เคยกินพริกมาก่อน เจ้าให้ข้า ข้าก็กินไม่เป็นหรอก”

“ข้ามีนะ!” ลู่ม่านยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านยังไม่ไว้ใจข้าอีกเหรอ? ถ้าข้ามีแล้ว อีกไม่นานพวกท่านก็จะมีเอง ถึงเวลา ก่อนราชวงศ์ถังของเราก็จะมีพริกเอง”

ท่านอู๋หัวเราะเสียงดัง “ยัยหนูคนนี้ ฉลาดเสียจริง!”

ลู่ม่านไม่เชื่อหรอก “ข้าพูดเรื่องจริงนะ พริกไม่เพียงแต่เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ และถ้าอยู่ในที่ที่หนาวและเปียกชื้นมาก การกินพริกเยอะๆจะช่วยให้ขับไล่ความชื้นได้ และยังเป็นยารักษาที่ดีมากด้วย!”

ท่านอู๋พยักหน้า “เมื่อกี้กินแล้วอบอุ่นขึ้นเยอะเลย ไม่คิดว่าของเล็กๆแค่นี้จะมีประโยชน์ขนาดนี้”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” ลู่ม่านพูดอย่างได้ใจ

“พรุ่งนี้กินอีกไหม?” ท่านอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้!” ลู่ม่านปฏิเสธ วันนี้นางแค่อยากให้พวกเขาลองชมรสชาติ ดังนั้น ถึงได้ทำใจเด็ดพริกออกมาทำหม้อไฟ ต้นพริกตอนนี้เหลือแค่พริกสีเขียวเล็กๆแล้ว จะกินอีกไม่ได้แล้วด้วย

ตอนที่ลู่ม่านกินเมื่อกี้ นางก็คิดไว้แล้วว่า รออากาศอบอุ่นกว่านี้ นางจะโปรยเมล็ดพริกที่เหลือทั้งหมดเพื่อเพาะกล้าไม้

รอถึงช่วงฤดูร้อน ก็จะมีพริกให้กินเยอะแล้ว

แต่ว่า แค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี ลู่ม่านพึมพำ “ถ้ามีคนมีอำนาจสามารถโฆษณาต่อทั่วแคว้นได้ งั้นพริกก็จะสามารถเข้าถึงทุกบ้านทุกเรือนได้”

ท่านอู๋อมยิ้ม “เจ้าไม่กลัวว่าถ้าทุกบ้านมีแล้ว เจ้าไม่ทำธุรกิจแล้วหรือไง?”

ลู่ม่านเคยคิดเหมือนกัน แต่ว่า……

“นี่เป็นผลผลิตใหม่ ถึงข้าจะอยากขายคนเดียว คนอื่นไม่เคยกิน ก็ไม่มีใครชอบกินอยู่ดี”

คิดได้ดีจริงๆ ท่านอู๋พยักหน้า “เจ้าหนุ่มตระกูลจวงช่วยเจ้าได้ไม่ใช่เหรอ? เจ้าไปหาเขาสิ”

ลู่ม่านคิดไปคิดมาก็ส่ายหน้า “ช่างเถอะ ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน”

จวงลี่จ้งนั่น นางรู้สึกว่าเขาอันตรายเกินไป ให้ความรู้สึกที่เดาใจได้ยาก อย่าเข้าใกล้เขาเลยดีกว่า

เรื่องของหม้อไฟจบลงแล้ว ลู่ม่านใส่ใจกับผงเครื่องเทศสิบสามชนิดของนาง หาพริกได้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับนางมาก นั่นหมายความว่ายี่ห้อหมู่บ้านไป่ฮัวมีสินค้าเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง

เช่น ผงพริก น้ำมันพริก พริกดองสับ และ……น้ำพริกเหล่ากานมา?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน