ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 115

ตอนที่ได้รับข่าว เฉินจื่ออานดีใจมากเหมือนกัน

ถึงแม้ทางบ้านใหญ่จะลำเอียง แต่ครั้งนี้ถ้าเฉินจื่อคังสอบติดจริง ระดับของบ้านเฉินก็จะพัฒนาไปอีกขั้น นี่เป็นความคาดหวังมานานหลายปีของตาแก่เฉินกับเฉินหลี่ซื่อ เฉินจื่ออานดีใจมากจริงๆ

เขาเตรียมเงินไว้ไม่น้อย คิดว่าถ้าเฉินจื่อคังเข้าเมืองหย่งอานก็คงจะได้ใช้ หลังจากนั้น เขาก็รอทางบ้านเฉินจะส่งข่าวมาให้เขาตลอด

สุดท้าย รอหนึ่งวันเต็ม ทางบ้านเฉินก็ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย

เช้าวันต่อมา รอเฉินจื่ออานไปหาเอง ทางบ้านเฉินก็ทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว

ทางบ้านใหญ่ รวมไปถึงเฉินจือคังต่างก็คิดว่าครั้งนี้ตัวเองจะต้องได้รับราชการแน่นอน ดังนั้น เฉินหลิ่วเอ๋อก็อยากตามไปด้วย เฉินหลี่ซื่อก็คงไม่ยอมให้ลูกสาวตัวเองตามเฉินจื่อคังไปหรอก จึงขอร้องให้ตาแก่เฉินพาตัวเองไปด้วย

เฉินจื่อฟู่ไม่ยอม หลายปีมานี้เขารอวันนี้มานาน ถ้าเฉินจื่อคังจะพาตาแก่เฉินและเฉินหลี่ซื่อไปด้วย เขารับรองว่าพวกเขาจะไม่กลับมารับตัวเองแน่นอน

ดังนั้น เฉินจื่อฟู่จึงอยากจะช่วยตัวเองขับเกวียน แล้วถือโอกาสตามไปด้วย

เฉินจื่อคังบอกว่ารถนั่งไม่พอแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพาพี่รองเจ้าเล่ห์คนนี้ไปด้วย แต่เฉินจื่อฟู่กลับไม่ยอมง่ายๆ แถมยังไปเกลี้ยกล่อมให้เฉินจื่อฉายประท้วงพวกเขาด้วย

แต่ใครจะรู้ว่า เฉินจื่อฉายกลับไม่ช่วยอะไรเลย เขาเป็นคนซื่อตรง ถ้าเรียกให้เขาไปเมืองหลวง เขารู้สึกว่าอยู่ในหมู่บ้านยังจะดีกว่าอีก เขายังมีที่นา ที่รอให้เขาไปปลูกอยู่

มีเพียงจ้าวซื่อ เดิมทีหลังจากที่ถูกจับไปครั้งก่อน นางก็เงียบขึ้นเยอะแล้ว ครั้งนี้กลับโวยวายขึ้นมากะทันหัน

นางอยากออกไปจากที่นี่ นางมีความทรงจำไม่ดีเกี่ยวกับที่นี่มากมาย หลังจากเรื่องนั้นผ่านไป นางก็ไม่กล้ากลับไปบ้านแม่อีก ชื่อเสียงของนางป่นปี้จนไม่มีชิ้นดีแล้ว

ถ้าออกจากที่นี่ได้ อาจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ก็ได้

ดังนั้น ตอนที่เฉินจื่ออานกับลู่ม่านไปถึง ก็ได้ยินเสียงโวยวายของจ้าวซื่อ “จื่อคัง ตอนนั้นตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราทุกคนส่งเจ้าเรียน รอเจ้าสอบติดแล้ว พวกเราจะใช้ชีวิตที่ดีด้วยกัน ตอนนี้เจ้าจะกลับคำงั้นเหรอ”

เฉินจื่อคังไม่ชอบจ้าวซื่ออยู่แล้ว ตอนนี้ได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็ยิ่งเกลียดยิ่งขึ้นไปอีก น้ำเสียงที่พูดจึงไม่ค่อยดีมากนัก “พี่สะใภ้ใหญ่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ตอนนี้ข้าแค่ไปเข้าสอบในวังเท่านั้นเอง”

เฉินหลี่ซื่อก็พูดขึ้นมาว่า “จ้าวซื่อ เจ้ามันคนไร้ยางอาย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาโวยวายกัน? ถ้าไม่เห็นแก่ลูกๆของเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองยังจะได้อยู่ในบ้านเฉินต่อไปงั้นเหรอ?”

ตาแก่เฉินได้ยินแล้วก็มองจ้าวซื่ออย่างไม่พอใจ ในสายตาของพวกเขา ที่ให้จ้าวซื่ออยู่ในบ้านต่อก็เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว

แต่ไม่คิดว่า สายตาแบบนี้ของพวกเขากลับทำให้จ้าวซื่อโมโหมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้นางไม่มีอะไรจะเสียแล้ว จึงเปิดประตูออกไปป่าวประกาศว่า “ทุกคนเร่เข้ามาดูเร็วโว้ย ชิ่วไฉจะทอดทิ้งญาติตัวเอง กำลังจะเข้าเมืองหลวงแล้วโว้ย……”

พอพูดจบ ก็ได้ยินเสียงตะคอกจากตาแก่เฉิน “เจ้าใหญ่!”

เฉินจื่อฉายรีบพุ่งออกไป อุดปากของจ้าวซื่อเอาไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน จ้าวซื่อกลัวเฉินจื่อฉายที่สุดแล้ว แต่ครั้งนี้นางไม่กลัวใครอีกต่อไป นางทั้งกัดและตีเฉินจื่อฉาย

สุดท้าย เฉินจื่อฉายถูกนางข่วนจนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเล็บ

เฉินหลี่ซื่อเห็นแล้วก็เข้าไปอยากตบจ้าวซื่อ ครั้งนี้ถูกตาแก่เฉินห้ามเอาไว้ก่อน

ตาแก่เฉินหรี่ตามองดูลูกสะใภ้ใหญ่ที่อาละวาดขึ้นมา มีความเยือกเย็นผุดขึ้นมาในใจ สักพักใหญ่ เขาก็ถึงพูดขึ้นช้าๆว่า “เจ้าใหญ่ เจ้าปล่อยจ้าวซื่อไปก่อน”

เฉินจื่อฉายก็ถึงปล่อยตัวนางออก จ้าวซื่อล้มลงกับพื้น สือซ่วนกับเถาฮัวเด็กๆสองคนรีบเข้าไปในอ้อมกอดของจ้าวซื่อ ตะโกนด้วยน้ำตาว่า “แม่……”

จ้าวซื่อกอดเด็กสองคนไว้ กัดฟันพูดว่า “ข้าไม่สน ครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”

ตาแก่เฉินเอาหม้อยาสูบในมือตัวเองเคาะบนโต๊ะสองสามที ต่อมาก็จุดไฟแล้วสูบสองทีถึงพูดขึ้นช้าๆว่า “สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่พาเจ้าไปด้วย พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกัน ตอนนั้นก็สัญญาแล้ว ไม่มีทางกลับคำแน่นอน แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ ตรงนั้นก็ยังหาบ้านไม่ได้ ยกโขยงไปด้วยกันแบบนี้ จะนอนที่ไหนกัน?”

จ้าวซื่อเงียบไม่พูดไม่จา ตาแก่เฉินก็พูดต่อ

“เจ้าสามก็อยู่ที่บ้านนี่? เจ้าใหญ่เจ้าสองก็อยู่ด้วยเยอะขนาดนี้ รอพวกเราสอบเข้ารับราชการในวังได้ก่อน หาที่พักได้แล้ว ก็จะเรียกคนมารับพวกเจ้าไปแน่นอน”

จ้าวซื่อก็เป็นคนฉลาด ตาแก่เฉินพูดเกลี้ยกล่อมเสียงเบา นางก็ไม่โวยวายอีก แต่คำพูดก็ยังไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

“ข้าเข้าใจความหมายของพ่อดี ตลอดทางที่ไปนพวกท่านไม่มีคนดูแล ข้าไปดูแลก่อนได้นะ”

เฉินจื่อฟู่ก็พูดต่อว่า “ข้าก็ดูแลพวกท่านได้ ในบ้านมีพี่ใหญ่และเจ้าสามอยู่ ใช่ไหม เจ้าสาม?”

เฉินจื่อฟู่ลากเฉินจื่ออานที่ยืนอยู่ข้างๆเข้ามาเกี่ยวด้วย เฉินจื่ออานแค่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “พ่อ พวกเราแยกบ้านกันแล้ว”

ความหมายก็คือไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เฉินจื่อคังกับเฉินหลี่ซื่อได้ยินแล้วกลับสบายใจขึ้นเยอะ นั่นหมายความว่าลดจำนวนคนลง ไม่ต้องคอยให้ลูกรักจื่อคังของนางเลี้ยง

เฉินหลี่ซื่อมองเฉินจื่ออานด้วยสีหน้าที่โล่งอกขึ้นเยอะ แต่ไม่รู้ว่า เฉินจื่ออานเห็นแล้วกลับยิ่งรู้สึกผิดหวังยิ่งขึ้นไปอีก เดิมที ความรู้สึกที่ดีใจแทนเฉินจื่อคังก็หายไปทั้งหมด

เขาวางของในมือลงบนโต๊ะอย่างหนักอึ้งแล้วพูดว่า “นี่เป็นค่าเดินทางของพวกท่าน ข้ากลับก่อน”

ว่าแล้ว เขาก็จับมือลู่ม่านเดินออกไปทันที

“เจ้าสาม เจ้าสาม……” เรื่องยังไม่จบเลย เฉินจื่อฟู่จะให้เขาไปไม่ได้

ดูจากสถานการณ์แล้ว ลำพังแค่เขากับจ้าวซื่อคงไม่รอดแน่ เพราะยังไง ชื่อเสียงในหมู่บ้านของพวกเขาก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถึงแม้จะประท้วงไปถึงที่ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็คงไม่ช่วยพวกเขาหรอก

แต่เฉินจื่ออานต่างกัน ตอนนี้เขามีชื่อเสียงในหมู่บ้าน และยังได้รับความเชื่อถือจากผู้ใหญ่บ้านด้วย

เฉินจื่อฟู่รีบพุ่งเข้าไปกดรถเข็นของเฉินจื่ออานไว้

“เจ้าสาม เจ้าลืมไปแล้วเหรอ ตอนนั้นที่พวกเราส่งจื่อคังเรียน ตกลงกันไว้แล้วว่า ถึงตอนนั้นถ้าจื่อคังสอบติด พวกเราทั้งครอบครัวจะไปใช้ชีวิตกินดีอยู่ดีด้วยกัน ตอนนี้ถึงแม้เจ้าจะรวยแล้ว แน่ยังไงก็เป็นแค่ทำงานให้คนอื่น ถ้าพวกเราเข้าเมืองหลวงด้วยกัน พวกเราช่วยกันทำมาหากิน ไม่ดีกว่าเหรอ?”

ต้องยอมรับเลยว่า เฉินจื่อฟู่พูดโน้มน้าวคนได้เก่งมาก สีหน้าของเฉินจื่อคังบึ้งตึงถึงขั้นสุด ถ้าเฉินจื่อฟู่ไม่ใช่พี่รองของเขา เขายังอยากรักษาหน้าตาและชื่อเสียงอยู่ ไม่แน่อาจจะกระทืบเขาแล้วก็ได้

เฉินจื่อฟู่เป็นคนฉลาด จะดูไม่ออกได้ยังไง แต่เพราะเขาฉลาด ถึงไม่อยากให้ตัวเองเสียเปรียบ ดังนั้น สีหน้าของเฉินจื่อคัง ไม่กระทบต่อจิตใจของเขาเลยสักนิด

ตาแก่เฉินกับเฉินหลี่ซื่อก็ร้อนใจกันมาก พวกเขาก็กลัวว่าเฉินจื่ออานจะตอบตกลงเหมือนกัน สิ่งที่เฉินจื่อฟู่คิดได้ พวกเขาก็คิดได้เหมือนกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน