ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 124

“สือซ่วน เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ลู่ม่านเดินไปถามอย่างแปลกใจ

เฉินสือซ่วนที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ก็แข็งทื่อไปทันที จากนั้นก็รีบใช้มือเช็ดน้ำตาทิ้ง แล้วรีบลุกขึ้นมาทักทาย “น้าสาม”

“เจ้าร้องไห้อยู่เหรอ” ลู่ม่านถามด้วยความตกใจ ในความทรงจำของนาง เฉินสือซ่วนเป็นเด็กนิ่งสงบมาตลอด หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวซื่อครั้งที่แล้ว ทำให้ลู่ม่านสังเกตเห็นเขา

เด็กคนนี้ถ้าได้รับการเลี้ยงดูดีๆ ในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนที่ซื่อตรงและใจดีมีเมตตาแน่นอน แต่น่าเสียดาย ถ้าให้สองเฒ่าตระกูลเฉิน ลู่หม่านคิดว่าคงจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก

“น้าสาม ข้าไม่เป็นไร” เขาปาดน้ำตาและฝืนยิ้มออกมา

ลู่ม่านนั่งลงให้ส่วนสูงเท่ากันแล้วมองดูเขา “ไม่เป็นไร เจ้ายังเป็นเด็ก เป็นเรื่องปกติที่จะร้องไห้ตอนที่เสียใจ”

เฉินสือซ่วนเริ่มอยากจะร้องไห้อีกครั้ง “แต่ข้าโตแล้ว”

โตบ้าอะไร! ลู่ม่านมองไปที่เด็กชายตัวเล็กตรงหน้าที่เพิ่งสูงแค่เอวของนาง ถ้าในยุคปัจจุบัน เด็กคนนี้คงเพิ่งเรียนชั้นประถมศึกษาอยู่เลย แต่ในสมัยโบราณกลับต้องเติบโตก่อนวัย

“ไม่หรอก ตราบใดที่เจ้ายังไม่แต่งงาน เจ้าก็ยังไม่โต น้าสามเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเจ้ารู้สึกเสียใจก็ร้องไห้ออกมา น้าสามจะไม่บอกคนอื่นเด็ดขาด”

ในที่สุดเฉินสือซ่วนก็ปลดปล่อยอารมณ์ของเขาและร้องไห้ออกมา

“น้าสาม ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม”

เพราะแบบนี้ ถึงได้บอกว่า ถึงแม้จะพยายามแสร้งทำตัวเป็นอย่างสุดความสามารถแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี

“ไม่หรอก พวกเขาแค่มีเรื่องต้องไปจัดการ” ลู่ม่านกล่าว “ตอนนี้ เจ้าเป็นผู้ชายคนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน เจ้าต้องช่วยป้ารองดูแลบ้านให้ดี”

เฉินสือซ่วนพยักหน้า แล้วมองไปที่น้าสามที่พูดจาอ่อนโยนตรงหน้า นางสวยมาก และนิสัยก็ดีมากด้วย ไม่เหมือนท่านแม่ที่คอยแต่จะทะเลาะกับท่านพ่อทุกวัน และไม่เหมือนท่านย่าที่ด่าทอคนอื่นไปเรื่อย

มีครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาไปในตำบลกับท่านพ่อ เห็นคนกำลังเล่าเรื่อง คุณหนูตระกูลใหญ่ในเรื่อง มีความรู้ สุภาพและอ่อนโยน ในตอนนั้นเฉินสือซ่วนไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่ในตอนนี้คำพวกนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของเขา

ถ้อยคำที่ไพเราะเช่นนี้ นำมาพรรณนาถึงน้าสามผู้นี้ มันเหมาะสมมาก

ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ลู่ม่านก็ยกยิ้มแล้วพูดว่า “สือซ่วน? เจ้ายังไม่เคยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในโรงงานเลยใช่ไหม น้าสามจะพาเจ้าไปลองชิมดู”

“ไม่ล่ะขอรับ!” เฉินสือซ่วนรีบส่ายหน้า “ข้าไปโรงงานของน้าสามไม่ได้”

“ทำไมล่ะ” ลู่ม่านเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ข้า…” เฉินสือซ่วนเปิดปากจะพูดแต่พูดไม่ออก หลังจากผ่านไปสักพักถึงได้พูดออกมา “แม่ของข้า...”

ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง เฉินสือซ่วนกังวลเรื่องที่จ้าวซื่อเคยแอบขโมยสูตรของลู่ม่านเรื่องนั้น เพราะมารดาทำผิดพลาด กลับส่งผลกระทบต่อเด็กให้ต้องแบกรับความกดดันมากถึงขนาดนี้

จ้าวซื่อช่างไม่ใช่มารดาที่ดีเลยจริงๆ

“ไม่เป็นไร น้าสามเป็นคนแยกแยะออก เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า น้าสามไม่โทษเจ้าหรอก”

“แต่ข้าเป็นลูกของท่านแม่” เฉินสือซ่วนหนักแน่นมาก

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรทำอะไรบ้าง เพื่อชดเชยความผิดของแม่เจ้า ไม่ใช่ปิดกั้นตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่หรือไง”

พอเฉินสือซ่วนได้ยินแบบนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ราวกับได้เห็นแสงสว่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“น้าสามพูดจริงหรือ”

“จริงสิ!” ลู่ม่านยกยิ้ม “การพิจารณาคนคนหนึ่งว่าเป็นเช่นไร คนในครอบครัวของเขาเป็นเช่นไร เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเขาเองเป็นเช่นไรต่างหาก ถ้าเขาเป็นคนดี ส่วนของครอบครัว ก็จะไม่สำคัญเลย”

“น้าสาม ข้าเชื่อคำพูดท่าน!” ในที่สุดเฉินสือซ่วนก็เงยหน้าขึ้นและยกยิ้มออกมา

จากนั้นลู่ม่านก็จูงมือเขา แล้วหันหลังเดินไปยังโรงงานทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ในโรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ช่วงนี้ลู่ม่านไม่มีเวลามาดูงานเลย หลังจากที่จวงลี่จ้งเป็นเจ้าของหุ้นส่วนมากแล้ว เขาได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขเป็นจำนวนมาก วันนี้ก็เหมือนกัน ทันทีที่ลู่ม่านเข้ามา จึงเห็นรถม้าลากของเข้ามาจำนวนมาก

ลู่ม่านไม่ได้ดูของพวกนั้น และเดินตรงเข้าไปข้างในเลย

เฉินสือซ่วนเดินตามหลังนางไป แทบจะทุกย่างก้าวไม่ห่าง แต่เขาเป็นเด็กที่มีมารยาทดีมาก ลู่ม่านพาเขาตรงไปยังส่วนที่สินค้าออกมาแล้ว นางหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งซองยื่นให้เขา

พอหันกลับมาถึงพบว่า เฉินสือซ่วนกำลังเฝ้าดูคนงานกำลังยุ่งอยู่กับการบรรจุห่อ ลู่ม่านยกยิ้มแล้วพูด “สือซ่วน มานี่สิ”

เฉินสือซ่วนหันกลับมามองที่ลู่ม่าน “น้าสาม ข้าขอมาทำงานที่นี่ได้ไหม?”

ลู่ม่านชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าอยากทำงานเหรอ แต่เจ้ายังเด็กควรจะไปร่ำเรียนหนังสือ”

ร่ำเรียน? เฉินสือซ่วนไม่เคยคิดว่าเขาจะได้ร่ำเรียนหนังสือ ท่านพ่อเองก็ไม่เคยบอกเขา ว่าเขาจะมีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือ สำหรับเขาแล้ว ทั้งบ้านมีเพียงลุงสี่เท่านั้นที่สามารถร่ำเรียนหนังสือได้ เพราะลุงสี่ถูกหมอดูทำนายว่ามีดวงเป็นคนยศสูง

ส่วนเขาไม่ใช่...

“น้าสาม ข้าร่ำเรียนไม่เป็น”

“การร่ำเรียนมีเป็นไม่เป็นเสียที่ไหนกัน เจ้าแค่บอกมาว่าเจ้าอยากจะเรียนไหม ถ้าเจ้าอยากเรียนก็ไปเรียน ขอแค่ร่ำเรียนมีความรู้ เจ้าถึงจะรู้เหตุรู้ผล และทำอะไรที่มีประโยชน์และมีความหมายได้มากขึ้น”

“อยาก!” แน่นอนว่าเขาอยากเรียนอยู่แล้ว ในช่วงปกติตอนที่ลุงสี่ท่องบทกลอนอยู่ที่บ้าน เขาได้ฟังประโยคที่ฟังไม่เข้าใจเลย มันเหมือนกับเสียงบรรเลงอันไพเราะ ในตอนนั้น เขารู้สึกว่าลุงสี่ของเขาจะต้องเป็นพระเจ้าที่อยู่บนท้องฟ้าแน่ๆ

เขาเองก็อยากเป็นเทวดาเหมือนกัน

“ก็แค่นั้นแหละ!”

คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้ จู่ๆ เฉินสือซ่วนก็มีความแน่วแน่ที่จะร่ำเรียนมากขึ้น “น้าสาม ให้ข้าทำงานที่นี่เถอะ! ข้าอยากทำงานหาเงินเพื่อไปเรียน”

ลู่ม่านชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ด้วยสถานการณ์ของบ้านเฉิน เฉินจื่อฉาต้องไม่ยอมให้เฉินสือซ่วนไปเรียนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะตอนนี้ที่เฉินจื่อคังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก

ลู่ม่านชอบเด็กคนนี้มาก ในใจอยากจะบอกว่า น้าสามสามารถช่วยออกค่าเล่าเรียนให้ได้ แต่นางก็ไม่ได้พูดออกมา

เฉินสือซ่วนเป็นเด็กดี จ้าวซื่อที่แสนจะเห็นแก่ตัว เขาไม่ได้รับนิสัยของจ้าวซื่อผู้เป็นมารดามาเลยแม้แต่น้อย ลู่ม่านคิดว่านางควรสั่งสอนเขา ให้เขาจำไว้เสมอว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

พอคิดถึงตรงนี้ นางก็พยักหน้ารับ “ได้สิ น้าสามตกลง เจ้าทำงานที่นี่ เงินเดือนก็ได้เท่าๆ กันกับคนอื่น ที่นี่ปกติจะมีของอาหารให้กินฟรีในโรงอาหาร เงินเดือนเจ้าก็เก็บสะสมไว้ รอจบช่วงปีใหม่ของปีหน้า เจ้าก็ไปเรียนได้แล้ว”

“ขอบคุณน้าสามมากขอรับ!” ร่างกายของเฉินสือซ่วนเหมือนจะเกิดใหม่ขึ้นมาทันที

หลังจากลู่ม่านพูดจบ นางหันไปหาผู้จัดการแล้วบอกว่าให้เฉินสือซ่วนทำงานด้านการห่อสินค้า เฉินสือซ่วนมีขนาดตัวค่อนข้างเล็ก ทำงานหนักยังไม่ได้ แต่ห่อสินค้ายังพอได้

หลังจากจัดการเรียบร้อย เฉินสือซ่วนก็เดินกลับบ้าน แล้วบอกว่าเขาจะกลับไปเตรียมตัว และมาทำงานในวันพรุ่งนี้เช้า

ลู่ม่านมองเขาเดินจากไป พอเตรียมจะกลับบ้าน มีรถม้าคันหนึ่งขับเข้ามาจากทางเข้าหมู่บ้าน และคนในนั้นรถม้าก็คือจวงลี่จ้ง

พอดี ลู่ม่านมองของที่ขนเข้ามา นางไม่ไปดูไม่ได้หมายความว่านางไม่สนใจ นางก็อยากจะถามเหมือนกัน ว่าจวงลี่จ้งทำโดยไม่บอกกันก่อนเช่นนี้เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน