ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 126

เมืองหย่งอานสมแล้วที่เป็นเมืองหลวงของยุคก่อนราชวงศ์ถัง แต่พอเห็นบ้านเรือนที่สูงใหญ่แล้ว ลู่ม่านก็ต้องตกใจไปทันที

มิน่าล่ะ ในช่วงศตวรรษที่ 21 ทั้งภาพยนตร์และสารคดีหลายเรื่องยกย่องกัน ถึงความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง ถึงแม้ยุคก่อนราชวงศ์ถังจะถือเป็นเมืองที่ถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่ม่านตกตะลึงได้แล้ว

เฉินจื่ออานเองก็ตกตะลึงเช่นกัน พอเห็นบ้านเรือน ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกไปเลย

ผู้ดูแลร้านช่ายส่งทั้งสองไปยังเรือนพักส่วนตัวของจวงลี่จ้งในเมืองหย่งอาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองที่แสนคึกคักเท่าไหร่ จวงลี่จ้งไม่อยู่ที่นั่น แต่พ่อบ้านคอยต้อนรับพวกเขา

จากนั้น ก็เตรียมเสื้อผ้าและน้ำร้อนไว้สำหรับอาบน้ำให้ พร้อมกับจัดที่พักผ่อนให้พวกเขา

ลู่ม่านเหนื่อยมากจริงๆ นางต้องใช้เวลาสองสามวันที่ผ่านมาอยู่ในรถม้า รู้สึกเหนื่อยก็พักสายตา รู้สึกง่วงนอนก็พิงไหล่ของ เฉินจื่ออานนอนหลับ แต่เพราะแรงกระแทกของล้อหมุนทำให้นางนอนไม่ค่อยหลับเลย

ทันทีที่หัวแตะหมอน ลู่ม่านก็ผล็อยหลับไปเลย

ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าเฉินจื่ออานกำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ทันทีที่เขาได้ยินการเคลื่อนไหว เขาก็ตื่นขึ้นทันที พอเห็นว่าเป็นลู่ม่านก็รู้สึกโล่งใจขึ้น

“เสี่ยวม่าน ตื่นแล้วเหรอ?”

ลู่ม่านขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าถึงไม่นอนดีๆ บนเตียงล่ะ”

เฉินจื่ออานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ข้ากลัวว่าหลับไปแล้วจะไม่ปลอดภัย” หลังจากหยุดไปเล็กน้อย เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ยังเหนื่อยอยู่ไหม? อยากนอนต่ออีกหน่อยหรือเปล่า!”

ลู่ม่านมองดวงตาที่เริ่มแดงด้วยความสงสาร “ตาของเจ้าแดงจนแทบจะเหมือนกระต่ายแล้ว!”

“ข้าไม่ใช่กระต่าย ข้าเกิดคนเกิดปีมะโรง” เฉินจื่ออานกล่าว

ลู่ม่าน “...ตาซื่อบื้อ!” พูดจบนางก็ลุกขึ้นคว้าแขนของเฉินจื่ออาน “ข้านอนพอแล้ว เจ้านอนพักก่อน ถ้าเจ้าพักผ่อนไม่พอจนป่วยขึ้นมา ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวจะทำอะไรได้”

บางทีประโยคนี้อาจเจาะเข้าไปถึงหัวใจของเฉินจื่ออาน จนสุดท้ายเขาก็ยอมทำตามรีบล้มตัวลงนอน

แต่ไม่นานก็มีสาวใช้มาเรียก “แม่นางลู่ คุณชายเฉิน คุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

เฉินจื่ออานรีบลุกขึ้น และเดินออกไปพร้อมกับลู่ม่าน

ตอนที่มาถึงในตอนเช้า ทุกคนต่างก็เหนื่อยจากการเดินทางมา จึงไม่มีเวลาได้สำรวจบ้าน แต่ตอนนี้ หลังจากที่หลับเต็มอิ่มแล้ว ลู่ม่านถึงได้มีเวลามองสำรวจอย่างจริงจัง

ถ้าบอกว่าบ้านของนางเป็นบ้านหลังแรกในหมู่บ้านไป่ฮัว พอเอามาเทียบกับบ้านหลังนี้แล้วมันเทียบกันไม่ติดเลย ถึงจะเป็นเพียงเรือนหลังเล็ก พื้นที่มันก็ใหญ่กว่าบ้านของลู่ม่านถึงสิบเท่า

ตรงสวนดอกไม้มีทางเดินเล่น และศาลาในสวน แม้แต่สาวใช้ที่เดินนำหน้าก็ยังสวมชุดผ้าไหม ช่างดูหรูหราเสียจริงๆ

แต่คนที่ดูหรูหราเช่นนี้กลับคิดแต่จะครอบครองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของนางไว้เป็นจำนวนมาก ช่างไม่อายเอาเสียเลย!

ลู่ม่านบ่นในใจ และพอเดินผ่านสวนตรงไปที่เรือนขนาดใหญ่ที่คล้ายกับห้องหนังสือ ต่อมา ลู่ม่านถึงได้เข้าใจ บรรดาตระกูลที่ร่ำรวยเหล่านั้น พยายามสร้างห้องหนังสือแยกเดียวออกมา ก็เพื่อความสงบและเป็นส่วนตัว

บริเวณโดยรอบว่างเปล่า และไม่มีวิธีซ่อนหญิงสาวไว้ ดังนั้นจึงยากที่จะถูกแอบฟังได้

สาวใช้ผลักเปิดประตูห้องหนังสือและกล่าวว่า “คุณชายรองเจ้าคะ พวกแม่นางลู่มาแล้วค่ะ”

“อืม บอกให้พวกเขาเข้ามาได้” จวงลี่จ้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

หลังจากนั้น ลู่ม่านกับเฉินจื่ออานก็เดินเข้ามาภายใต้การนำทางของสาวใช้ ในห้องหนังสือขนาดใหญ่มีเพียงจวงลี่จ้งเท่านั้น ในเมืองหลวง เขาต้องแต่งตัวดูดีกว่าตอนที่เขาอยู่ในตำบลชางผิง และนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

หลังจากที่ลู่ม่านกับเฉินจื่ออานเดินเข้ามา เขาก็ส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลง สาวใช้รีบยกน้ำชามาให้และเดินจากไป

จากนั้นจวงลี่จ้งก็กล่าวว่า “พวกท่านรู้ไหมว่าเหตุใดพวกท่านถึงถูกพามาที่นี่”

ลู่ม่านกลอกตาใส่เขาในใจ อะไรก็ไม่พูดแล้วเรียกคนอื่นมา แล้วตอนนี้ยังจะมาถามพวกเขาว่าพวกเขารู้ไหม? นี่อาจเป็นคำพูดติดปากของข้าราชการในสมัยโบราณสินะ?

พอเห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้คุยกัน เขาจึงพูดขึ้นมา “คุณชายเฉิน ได้ยินไหมว่าน้องชายคนที่สี่ของท่านได้รับเลือกให้เข้ารับการสอบเข้ารับราชการในวังอย่างนั้นหรือ?”

เฉินจื่ออานชะงักไปเล็กน้อย แล้วหันไปสบตากับลู่ม่าน ก่อนที่จะตอบว่า “ข้ารู้!”

“แล้วรู้ไหมว่าตอนนี้เขาถูกขังอยู่ในคุกของศาลต้าหลี่ ถูกจับในข้อหาลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่น และถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง รอให้ฝ่าบาทเป็นผู้ออกคำสั่งลงโทษ?”

“ข้ารู้!” เฉินจื่ออานตอบตามความจริง

พอได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่เฉยเมยของจวงลี่จ้งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองดูทั้งสองคนอย่างจริงจังอีกครั้ง แล้วพูดว่า “แล้วเรื่องที่เฉินจื่อคังพูดปัดความผิดในคุกว่าเป็นเพราะตระกูลจวงของเราอยากจะทำธุรกิจกับพวกท่าน ถึงได้ใช้เส้นสายช่วยเหลือเขา พวกท่านก็รู้อย่างนั้นเหรอ”

พอได้ยินแบบนี้ เฉินจื่ออานกับลู่ม่านต่างก็ตกใจทันที “คุณชายจวง ที่ท่านพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?”

“จริงสิ! เฉินจื่อคังพูดออกมาเอง อีกทั้งยังพูดในศาลตัดสินใจของศาลต้าหลี่ ตอนนี้ทุกคนในเมืองหย่งอานต่างก็รู้กันหมดแล้ว” จวงลี่จ้งกล่าวอย่างเย็นชา

สถานการณ์มันรุนแรงเช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่จวงลี่จ้งขอให้คนไปพาพวกเขามาทันที เฉินจื่อคังพูดแบบนั้นได้อย่างไร

เฉินจื่ออานขมวดคิ้ว นึกถึงสิ่งที่ตาแก่เฉินพูดตอนที่เขาไปหาเขา ใช่ไหม...

เฉินจื่ออานไม่กล้าคิดเลย ไม่หรอก ต้องไม่ใช่อย่างแน่นอน

ถึงอย่างไร ตาแก่เฉินก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา ไม่ว่าจะไม่ชอบเขาแค่ไหน เขาก็ไม่ควรเสียสละทุกอย่างเพื่อเฉินจื่อคังแบบนี้หรอก

“เรื่องนี้ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ” เฉินจื่ออานกล่าว

“ในเมื่อท่านบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกท่านก็ควรไปคุยกับพวกเขา ปรับความเข้าใจผิดให้ได้ ไม่อย่างนั้น ทางเราคงต้องใช้มาตรการอื่นแล้ว...”

สิ่งที่จวงลี่จ้งพูดในประโยคสุดท้ายนั้นค่อนข้างรุนแรงมาก เดิมทีเขาเติบโตขึ้นมาในตระกูลที่ใหญ่โตเช่นนี้ ดังนั้น เขาจึงไม่ใช่คนใจดีอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อยู่มาได้นานถึงเพียงนี้

เฉินจื่ออานเองก็รู้ ตระกูลจวงเห็นแก่ความร่วมมือในการทำธุรกิจในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้น จวงลี่จ้งคงไม่สนใจพวกเขาว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง คงใช้มาตรการจัดการที่รุนแรงไปเลย

เฉินจื่ออานกล่าว “ขอบคุณมาก คุณชายรอง” จากนั้นเขาก็พาลู่ม่านออกไป

พอพวกเขาออกไปข้างนอก พ่อบ้านก็จัดรถม้าที่เล็กกว่าสำหรับทั้งสองคนทันที รถม้าประเภทนี้มีขนาดเล็กกว่ารถม้าที่วิ่งได้ไม่ไกล แต่ขนาดของรถเหมาะกับการใช้งานบนถนน จะได้ไม่ชนแผงลอยริมถนนทั้งสองข้าง ทั้งสองเดินทางเข้าเมือง หย่งอานช้าๆ

จวงลี่จ้งอาจส่งคนไปหาที่อยู่ของบ้านเฉินไว้แล้ว รถม้าจึงพาทั้งสองคนตรงไปยังจุดหมายโดยไม่ลังเล

เป็นโรงเตี๊ยมที่เก่ามาก ป้ายที่ติดหน้าประตูก็เก่าแก่มากแล้ว

เฉินจื่ออานขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าโรงแรมที่ทรุดโทรมเช่นนี้จะอยู่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างเมืองหย่งอานได้ นอกจากนี้ ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีเพียงบ้านเฉินพักอยู่

คนที่พาพวกเขามา บอกเลขห้องของตาแก่เฉินและคนอื่นๆ ก่อนจะขึ้นรถแล้วบอกว่าจะรอพวกเขาอยู่ในรถ

จากนั้นลู่ม่านกับเฉินจื่ออานจึงเดินเข้าไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน