ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 159

“อนาคตพ่อแม่จะต้องอยู่กับจื่อคังแน่นอน พี่ใหญ่คิดอนาคตหลังจากนี้ของตัวเองเถอะ”

เฉินจื่อฉายส่ายหน้า “ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!”

เขาคงจะยังลังเลอยู่ การเป็นคนโบราณที่ถูกสั่งสอนไม่วิจารณ์มารดาที่ทำผิด ตอนนี้แม่ของเขาทำขนาดนี้แล้ว เขาอยากจะโกรธ แต่ก็ทำไม่ได้

เขาน่าจะต้องการเวลาอีกหน่อย ถึงจะคิดออกเอง

กินข้าวเสร็จแล้ว เฉินจื่อฉายก็ถึงเดินโซเซกลับบ้านไป เฉินจื่ออานเป็นห่วง จึงเดินส่งเขากลับบ้าน

หลังจากที่กลับมา ลู่ม่านก็อาบน้ำนอนแล้ว เฉินจื่ออานไม่สบายใจ แค่ล้างหน้าแปรงฟันก็มานั่งถอนหายใจข้างเตียง

“แม่ไม่เหลือข้าวเย็นไว้ให้พี่ใหญ่จริงด้วย”

ลู่ม่านทำเสียง ‘จิ๊’ คิดว่าเรื่องอะไรอีก ไม่เหลือข้าวเย็นไว้ก็เป็นเรื่องปกตินี่? เฉินหลี่ซื่อก็เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ใจร้ายอยู่แล้ว

ลู่ม่านเปลี่ยนเรื่อง “ผู้ดูแลร้านช่ายว่ายังไงบ้าง?”

“ผู้ดูแลร้านช่ายถามเกี่ยวกับสถานที่ที่เด็กถูกขายไป จากนั้นก็เขียนจดหมายให้คนส่งไป คงจะมีสิบวันกว่าจะรู้ผล” แต่พอพูดถึงเถาฮัว เฉินจื่ออานก็กัดฟันกรอด

“พวกเขากล้าขายเถาฮัวไปที่แบบนั้นได้ยังไงกัน นางยังเด็กอยู่เลย”

ลู่ม่านหัวใจเย็นวาบ ดูท่าทางที่เสียใจของเฉินจื่ออานแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้พูดซ้ำเติมอะไรอีก เปิดผ้าห่มแล้วขยับตัวออกมาให้เขา

เฉินจื่ออานก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วพิงหัวเตียง

หัวเตียงนี้ลู่ม่านให้หวังเอ้อร์หนิวทำตามแบบของยุคปัจจุบัน เวลาพิงก็นุ่มสบายมาก เทียบกับเตียงใหม่ที่มีแต่โครงในยุคของพวกเขาแล้วสบายกว่ามาก ลู่ม่านยื่นมือไปนวดขมับให้เฉินจื่ออานเบาๆ

“บ้านเฉินพวกเขากล้าทำแบบนี้ ที่จริงก็เกี่ยวกับพี่ใหญ่เหมือนกันนะ ถ้าพี่ใหญ่ไม่กตัญญูจนเกินเหตุแต่แรก แม่จะกล้าขายเหอฮัวเหรอ?”

ลู่ม่านกำลังถ่ายทอดหลักการของตัวเอง ปลูกฝังให้กับเฉินจื่ออานช้าๆ

แน่นอนว่า เฉินจื่ออานเองไม่เหมือนเฉินจื่อฉายที่เอาแต่กตัญญูจนเกินเหตุ ดังนั้น เขาจึงรับการปลูกฝังได้ง่ายกว่า

“ถ้าอนาคตพวกเรามีลูกด้วยกัน ข้าจะปกป้องลูกของเราให้ปลอดภัย!” เฉินจื่ออานพูด

ลู่ม่านยิ้มเล็กน้อย “งั้นชีวิตต่อจากนี้ของข้ากับลูก ก็ฝากไว้ที่เจ้าแล้วกันนะ!”

เฉินจื่ออานมองดูลู่ม่านอย่างเหนื่อยใจ แล้วโอบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด ยื่นมือไปลูบท้องที่ยังคงแบนราบของลู่ม่าน “ทำไมถึงยังไม่มีนะ?”

ลู่ม่านอึ้ง กัดฟันกรอดพูดว่า “เฉินจื่ออาน เจ้ารังเกียจข้าเหรอ?”

“ไม่ใช่งั้นนะ!” เฉินจื่ออานรีบพูด “ข้าแค่อดใจรอไม่ไหวแล้ว ลูกของพวกเราจะต้องสวยเหมือนเจ้าแน่……”

ยังดีหน่อย ลู่ม่านกระตุกยิ้ม “ข้าว่าเหมือนเจ้าก็ดีเหมือนกันนะ”

เฉินจื่ออานรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้าหน้าตาไม่ดี”

“ใครบอกกัน?” ลู่ม่านเลิกคิ้ว “ภายในใจของข้า เจ้าหน้าตาดีที่สุดแล้ว”

“เสี่ยวม่าน……”

ความรักอันแสนหอมหวานอบอวลไปทั่วทั้งห้อง...

......

เช้าวันต่อมา เฉินหลี่ซื่อก็มาทันทีพอเข้ามาเฉินหลี่ซื่อก็สั่งงานเหอเย่วอย่างเคยชิน

“เจ้าไปเตรียมอาหารเช้า จื่ออานกับเสี่ยวม่านตื่นมาแล้วต้องกิน”

เหอเย่วรู้จักเฉินหลี่ซื่อดี ปกติไม่เห็นนางจะเป็นห่วงเฉินจื่ออานพวกเขาเลยสักนิด ตอนนี้ทำไมถึงมาเป็นห่วงล่ะ แต่ถึงแม้จะไม่พอใจ ยังไงนางก็เป็นแม่ของเฉินจื่ออาน นางก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

จึงพูดว่า “อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

เฉินหลี่ซื่ออึ้ง นางคิดว่าตัวเองตื่นเช้าแล้วนะ ไม่คิดว่า ยัยหนูคนนี้จะตื่นเร็วกว่า

เฉินหลี่ซื่อพูดเบ่งอำนาจต่อว่า “จะทำอาหารง่ายๆไม่ได้นะ จื่ออานพวกเขาทำงานหนัก มา ข้าขอดูหน่อยสิ……”

ว่าแล้ว นางก็เดินไปในยังห้องครัว เปิดดูอาหารที่เหอเย่วปิดไว้ เปิดฝาดู กลิ่นหอมของอาหารโชยออกมาจากหม้อ

ข้าวต้มหนึ่งหม้อเล็ก ไข่ตุ๋นที่นึ่งไว้เสร็จแล้ว เกี๊ยวหนึ่งจานเล็ก แถมยังมีผัดผักอีกด้วย

บนโต๊ะยังวางแยมผลไม้รสชาติต่างๆไว้ด้วย

อาหารเช้าที่เต็มไปด้วยโภชนาการจริงๆ เฉินหลี่ซื่อกลืนน้ำลายเอื๊อกๆอย่างอดใจไม่อยู่ แต่ก็ยังปากแข็งพูดว่า “แค่นี้เองเหรอ? เนื้อตุ๋นอีกนิดสิ!”

เหอเย่วอึ้ง “แต่ว่า พี่เสี่ยวม่านบอกว่า ตอนเช้าไม่ชอบกินอะไรที่เลี่ยนเกินไป……”

“พี่เสี่ยวม่าน? เจ้าก็แค่เด็กที่ถูกเก็บมา ทำไมถึงเรียกชื่อของเสี่ยวม่านล่ะ? ไม่มีมารยาทเลยจริงๆ!” เฉินหลี่ซื่อด่า

เหอเย่วน้ำตารื้นขึ้นเต็มขอบตา จับปลายเสื้อไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก นางเกิดมาในครอบครัวเกษตรกร ไม่ค่อยรู้เรื่องมารยาทของตระกูลใหญ่ๆ แต่ลู่ม่านบอกแล้วว่า อยู่บ้านของพวกเขาไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น

ดังนั้น ที่ผ่านมา นางก็เรียกว่าพี่เสี่ยวม่าน พี่จื่ออานตลอด……

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เฉินหลี่ซื่อเบ่งอำนาจ แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง เมื่อก่อน นักเล่าเรื่องในเมื่อก็พูดถึงฮูหยินในตระกูลใหญ่ๆแบบนี้นี่?

ตั้งแต่ที่นางรู้ว่าเฉินหลิ่วเอ๋อจะได้แต่งงานกับคุณชายรองอ๋องหนิง ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นญาติของจวนอ๋องหนิงเรียบร้อยแล้ว “ข้าก็แค่ว่าเจ้าไม่กี่คำ เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่” เหอเย่วพูดอย่างน้อยใจ

พอได้ยินคำว่าฮูหยินใหญ่ เฉินหลี่ซื่อก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ต้องแบบนี้สิ แต่อาหารเช้าต้องทำเนื้อตุ๋นหน่อยนะ……”

เหอเย่วไม่กล้าเถียงอีก จึงกลับหลังหันไปทำเนื้อตุ๋นแต่โดยดี

ตอนที่ลู่ม่านกับเฉินจื่ออานตื่นขึ้นมา ทั้งบ้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นของเนื้อ ลู่ม่านเลิกคิ้ว “จื่ออาน วันนี้เช้าเจ้าจะกินเนื้อตุ๋นเหรอ?”

เฉินจื่ออานก็สงสัย “ไม่นะ” ตอนนี้นอกจากเขาจะเรียนหนังสือแล้ว ก็ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพมาก ตอนเช้าจะกินอาหารเลี่ยนๆแบบนั้นได้ยังไง!

ทั้งสองกำลังพูดอยู่นั้น เสียงของเฉินหลี่ซื่อก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เสี่ยวเย่ว เจ้ากวาดพื้นหรือยัง? ไม่สะอาดเลย!”

“นี่ คนเฝ้าประตู เจ้านั่นแหละ เจ้าอย่าเอาแต่เฝ้าประตูสิ ปกติก็ต้องช่วยกันทำความสะอาดบ้านบ้าง……”

ลู่ม่านกับเฉินจื่ออาน “……”

“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินจื่ออานขมวดคิ้ว

ลู่ม่านจะรู้ได้ยังไง ตอนนี้นางรู้แค่ว่า ใครบางคนจะทำดีด้วยไม่ได้ ถ้านางได้เปรียบหน่อยๆ ก็จะเข้ามาบ้านทันทีเหมือนอย่างตอนนี้

“ข้าจะไปดูก่อน!” เฉินจื่ออานแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกไปทันที

ภายในบ้าน เฉินจื่ออานยังคงสั่งการไม่หยุด เหอเย่วกับเหอซานถูกนางสั่งทำนู่นทำนี่ตั้งแต่เช้า แต่ทั้งสองก็ยังรู้สึกซาบซึ้งต่อบุญคุณของเฉินจื่ออานกับลู่ม่าน ดังนั้นไม่ว่าเฉินหลี่ซื่อจะพูดยังไง พวกเขาก็ไม่เคยทำท่าไม่พอใจเลย

เฉินจื่ออานเข้าไปช่วยสองคนนั้น “หน้าบ้านยังมีงานอีก พวกเจ้าไปทำก่อนเถอะ”

เหอเย่วกับเหอซานรีบขอบคุณ แล้วเดินจากไป

เฉินหลี่ซื่อไม่พอใจอย่างมาก ตะโกนไล่หลังว่า “นี่ ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ พวกเจ้าจะไปได้ยังไง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน