ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 172

บ่ายวันนั้น คนงานชั่วคราวที่เหยาซื่อแนะนำ ก็มาถึงแล้วทั้งหมด

ส่วนใหญ่จะมาจากหมู่บ้านญาติทางฝั่งของเหยาซื่อ น้องชายของเฉินเหมยเซียงก็มาแล้ว เขาหน้าตาคล้ายเฉินเหมยเซียงมาก มีชื่อว่าเฉินจูชิง

เหมยเซียง (กลิ่นหอมของดอกเหมย) จูชิง (ไผ่งามเขียวขจี) ลู่ม่านกำลังดื่มด่ำกับชื่อของสองพี่น้อง มันมีความหมายงดงามมาก ดูท่าแล้ว พ่อของเฉินเหมยเซียงคงมีการศึกษาอยู่พอตัว

และเป็นไปตามที่นางคาดไว้ พอถามก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เฉินจูชิงติดตามศึกษาเล่าเรียนกับพ่อของเขามาตั้งแต่เด็ก จึงอ่านและเขียนได้ตั้งเเต่เด็ก

ลู่ม่านจึงยกหน้าที่ควบคุมคนงานชั่วคราวให้กับเขา คนงานชั่วคราวกลุ่มนี้มีประมาณสิบกว่าคน เพราะระยะทางอยู่ไกลจากหมู่บ้านของพวกเขา ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วจะต้องอยู่ทำงานจนเสร็จแล้วถึงจะกลับไปได้

เดิมที เหยาซื่อกล่าวว่า คนกลุ่มนั้นจะอาศัยอยู่ในบ้านของนาง แต่ลู่ม่านรู้ว่าที่บ้านของนางไม่มีที่มากพอ แล้วอีกอย่าง คนที่หาคนงานชั่วคราวคือตนเอง

ลู่ม่านจึงสั่งให้เหอเย่วทำความสะอาดเรือนหลังสุดท้ายด้านหลังออกมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในบ้านก็ไม่มีคนใช้ และไม่มีใครอยู่ที่นี่ด้วย

เรือนหลังนี้มีประมาณสิบห้อง แต่ละห้องสามารถพักได้หกคน มีเตียงใหญ่ ตู้เสื้อผ้า ครบทุกอย่าง

พอทุกคนเข้ามาก็เห็นเครื่องเรือนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยภายใน ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างเป็นประกาย “นี่มันดีกว่าอยู่ที่บ้านอีกนะเนี่ย”

“ใช่แล้ว เรือนพักดีๆ อย่างนี้ เราต้องรักษาให้ดี อย่าให้สกปรก” เฉินจูชิงกล่าว

กลุ่มคนที่มาล้วนแต่เป็นคนซื่อตรง พอได้ยินอย่างนี้ทุกคนจึงพากันพยักหน้าเห็นด้วย

หลังจากเก็บของเรียบร้อย ทุกคนก็ไม่คิดจะพักเลย ทุกคนตรงไปที่ทุ่งนาเลย

ที่ดินห้าสิบไร่เชื่อมติดกัน เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครจัดการมาหลายปี ดังนั้นในทุ่งนาจึงเต็มไปด้วยวัชพืช ที่เรือนของลู่ม่านมีวัวเพียงตัวเดียวและต้องใช้มันขนส่งด้วย

ลู่ม่านคิดไปคิดมา ลู่ม่านจึงไปซื้อวัวมาอีกตัว จากนั้น ก็ซื้อรถลามาลากของมาอีกคัน!

บนรถลา ลู่ม่านซื้อโครงที่นั่งมาด้วย คล้ายกับรถม้าในยุคนี้ แต่รถลานั้นถูกกว่ารถม้ามาก และหาซื้อได้ไม่ยากเหมือนม้าด้วย

รถลาใช้สำหรับส่งของ โดยที่เกวียนวัวเดิมและเกวียนวัวที่ซื้อมาใหม่นั้น เอาไปใช้สำหรับทำนา

หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว ทุกคนก็เริ่มทำนาตามหน้าที่ทันที

การเคลื่อนไหวของลู่ม่านดังครึกโครมถึงขนาดนี้ ทุกคนในหมู่บ้านจึงรู้ว่าครอบครัวของเฉินจื่ออานซื้อที่ดินเพิ่มอีกแล้ว แต่คราวนี้ กลับไม่เรียกความสนใจเหมือนครั้งก่อน เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็ยอมรับแล้ว ตอนนี้เฉินจื่ออานถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้านแล้ว

ดังนั้น ถึงแม้จะซื้อที่ดิน ก็เป็นเรื่องปกติ

แต่ว่าตาแก่เฉิน หลังจากรู้ว่าลู่ม่านซื้อที่ดินใหม่ห้าสิบไร่ ก็รีบมาดูอย่างดีใจ ตอนที่คนงานชั่วคราวกำลังทำงาน เขาก็มาดูด้วยหลายรอบ

พอเริ่มเพาะปลูก ตาแก่เฉินเห็นว่าพวกเขากำลังปลูกสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

เขารีบไปที่บ้านของลู่ม่าน และเอ่ยถามอย่างอดทน “สิ่งที่เจ้าปลูกลงไปคืออะไร”

ลู่ม่านไม่รู้จะอธิบายอย่างไร นางจึงพาตาแก่เฉินไปที่สวนด้านหลัง พริกในสวนเจริญเติบโตได้ดีมาก รวมถึงช่วงนี้อากาศกำลังดี ทั้งแดงทั้งเขียว ทั้งแหลมทั้งกลม แต่ละเม็ดแขวนอยู่บนต้นพริกเหมือนโคมเล็กๆ

และมีดอกไม้สีขาวที่สวยงามเบ่งบานเต็มต้นอีกด้วย

ตาแก่เฉินมองต้นพริกที่มีพริกเกาะอยู่บนต้นด้วยความประหลาดใจ “นี่ก็คือพริกเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” ลู่ม่านพูดยิ้มๆ “สิ่งนี้ในอนาคตจะกลายเป็นเครื่องปรุงรสที่สำคัญมากอย่างแน่นอน”

ตาแก่เฉินอ้าปากค้าง ถึงแม้ความคิดแบบเก่าของเขาจะทำให้เขาไม่ไว้วางใจในสิ่งนี้ แต่พอคิดถึงการถูกทำให้เสียหน้าหลายครั้งก่อนหน้านี้ เขาจึงระงับความสงสัยไว้ในใจ

“ในเมื่อเจ้ามีแผนในใจอยู่แล้ว ก็ดีแล้ว แต่ที่ดินกว้างขนาดนี้ เจ้าคิดจะปลูกพริกนี่… ทั้งหมดเลยหรือ?”

“ไม่ใช่!” ลู่ม่านพูดยิ้มๆ “ปลูกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ในการปลูกถั่วเหลือง”

ลู่ม่านกล่าวว่าปลูกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ตาแก่เฉินจึงมีกำลังใจขึ้นมา แต่พอได้ยินว่าจะปลูกถั่วเหลืองก็ต้องหดหู่ไปอีกครั้ง “ถั่วเหลืองไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก ถ้าขายไม่ออก”

ลู่ม่านส่ายหน้า “ข้าไม่ขาย ข้าปลูกมาใช้งาน”

พอเห็นว่าเธอมีความมุ่งมั่นมาก ตาแก่เฉินถึงได้พยักหน้า “แล้วนี่จื่ออานรู้หรือเปล่า”

“รู้ ข้าบอกเขาแล้ว”

“ดีแล้ว!” หลังจากที่ตาแก่เฉินพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง หลังเขาโค้งลง แล้วเดินกลับไปช้าๆ

สิ่งที่ลู่ม่านไม่รู้ก็คือ ตั้งแต่นั้นมา ตาแก่เฉินจะมาเดินรอบ ๆ ที่ดินห้าสิบไร่ทุกวัน เหมือนมาลาดตระเวน

อาจเป็นไปได้ว่า ตาแก่เฉินคิดได้แล้วจริงๆ เพราะแบบนี้ ลู่ม่านจึงไม่ได้ห้ามเขา

ถ้าหากว่า เขาสามารถตระหนักถึงความผิดในอดีตของเขาได้แล้วจริงๆ พอเขาแก่แล้ว นางกับเฉินจื่ออานจะไม่เพิกเฉยไม่สนใจเขา

ช่วงนี้ อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลู่ม่านทำซุปถั่วเขียวทิ้งไว้ในตอนเช้า โดยเติมน้ำตาลเข้าไปด้วย ก่อนจะเอาไปส่งที่ทุ่งนาด้วยตนเอง

ตาแก่เฉินอยู่ที่นั่นด้วย และกำลังคุยกับเฉินจูชิงเกี่ยวกับเรื่องการเพาะปลูกอยู่

ลู่ม่านเอ่ยเรียกอย่างเป็นมิตร “ท่านพ่อ ทุกคน มาพักกันก่อนเถอะ ดื่มซุปถั่วเขียว คลายร้อนก่อน”

ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ ทุกวันถ้าลู่ม่านไม่มาด้วยตัวเองหรือขอให้สาวใช้ในบ้านมาส่งของ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารหรือซุปที่สามารถคลายความร้อนได้

ชาวนาบางคน โตมาถึงขนาดนี้แล้วอาจจะยังไม่เคยกินของแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ได้กินก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก และก็ยิ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ

ตาแก่เฉินชื่นชอบกับบรรยากาศของการทำงานอย่างนี้มาก คนแก่รุ่นเขาผ่านความยากลำบากมามาก และไม่ชอบเห็นคนที่ชอบเอาเปรียบคดโกงคนอื่น นี่เป็นอีกเหตุผล ว่าทำไมเขาไม่เคยบังคับให้เฉินจื่อฟู่มาช่วยงานในทุ่งนาเลย

ไม่ใช่ว่าเขาลำเอียง แต่ถ้าเห็นการหาข้อแก้อ้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อจะเกียจคร้านไม่ยอมทำงานเขาจะโมโห แต่เฉินจื่อฟู่หน้าด้านหน้าทนมาก และไม่กลัวการตีหรือดุด่าเลย พอนานวันเข้า ตาแก่เฉินจึงขี้เกียจจะเรียกเขาอีก

ตาแก่เฉินหยิบซุปถั่วเขียวหนึ่งถ้วยขึ้นมาแล้วดื่ม ซึ่งรสชาติมันหวานและสดชื่น เขาวางชามลงแล้วพูดว่า “ที่นี่น่าจะเสร็จงานภายในสองวันนี้แล้ว”

ลู่ม่านพยักหน้า “ตลอดหลายวันมานี้ ต้องขอบคุณท่านพ่อมาก”

“คนงานชั่วคราวที่เจ้าหามาทำงานดีต่างหากล่ะ!” ตาแก่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่เขาพึงพอใจในตัวเฉินจูชิงมาก

ถึงแม้สถานะครอบครัวจะไม่ดี แต่เขาเป็นคนดี รูปร่างแข็งแรง มีการศึกษา ถ้าสามารถยกหลิ่วเอ๋อให้แต่งงานกับเขาได้ ก็จะเป็นคู่ชีวิตที่ดีมากคนหนึ่ง

พอนึกถึงเฉินหลิ่วเอ๋อ รอยยิ้มบนใบหน้าของตาแก่เฉินก็หายไปกว่าครึ่ง

ตั้งแต่เกิดเรื่องหลี่ยวี่ เฉินหลิ่วเอ๋อก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทุกวัน และไม่พูดไม่จาอะไร แม้จะกินข้าว ก็กินแค่วันละสองคำ และเป็นเฉินหลี่ซื่อที่ทั้งเกลี้ยกล่อมขอร้องให้กิน

สภาพแบบนี้มาตลอด! เขาที่เป็นพ่อ มีบางเรื่องก็พูดอะไรมากไม่ได้ จึงคิดว่า ถ้าหาสามีให้นางใหม่ ให้นางมีที่ยึดเหนี่ยวในใจ ก็อาจจะเปิดใจของนางออกได้

เด็กคนนั้น คงจะถูกทำร้ายจิตใจมากจริงๆ

ในขณะที่คิด ตาแก่เฉินก็มองไปที่เฉินจูชิงอีกครั้ง เขากำลังดื่มน้ำอยู่ และดูไม่เหมือนชาวนาทั่วไป ที่กินอย่างตะกละตะกลาม หลิ่วเอ๋อไม่ชอบผู้ชายตะกละตะกลาม ตาแก่เฉินรู้ดี

ยิ่งดูก็ยิ่งพึงพอใจ ตาแก่เฉินคิดในใจ พยายามหาโอกาสที่จะสอบถาม

ในขณะที่กำลังครุ่นคิด บนถนนสายหลักของทางเข้าหมู่บ้าน เกวียนวัวก็วิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ ผู้ที่มีสายตาดี ก็จะมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า คนที่กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าก็คือเฉินจื่ออาน

ลู่ม่านเองก็ดีใจเช่นกัน “มันผ่านไปกว่าครึ่งเดือนเลยเชียวนะ ในที่สุดจื่ออานก็กลับมาสักที”

พอมองอย่างละเอียด ส่วนหลังของเกวียนวัว เฉินจื่อฉายกับเถาฮัวอยู่บนเกวียนด้วยเช่นกัน สุดท้ายตาแก่เฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา “ดีแล้วที่กลับมา ดีแล้วที่ได้กลับมา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน