ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 179

หลังจากกินข้าวเสร็จ ผู้ว่าการอำเภอก็จากไป ลู่ม่านกับเฉินจื่ออานก็รีบเดินตามผู้ใหญ่บ้านไปดูทั่วหมู่บ้าน

ตาแก่เฉินมีประสบการณ์ในด้านการทำนา พอได้ยินมาว่ากำลังจะเลือกที่นาที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก เขาจึงตามไปด้วย

คงต้องโทษที่คำสั่งนี้มาผิดเวลา ถ้ามาเร็วกว่านี้ แล้วที่นาห้าสิบไร่ของลู่ม่านทำการปลูกพริกทั้งหมด คงสามารถแบกรับแรงกดดันได้บ้าง

แต่ว่า ตอนนี้ถั่วเหลืองงอกออกมาแล้ว นางทำใจที่จะดึงต้นอ่อนพวกนั้นทิ้งไม่ได้จริงๆ

หลังจากเดินดูตลอดทั้งช่วงบ่าย ในที่สุดก็เลือกที่นาผืนหนึ่งที่ใกล้กับที่ดินห้าสิบไร่ของลู่ม่าน มันเป็นที่นาของครอบครัวเฉินเหมยเซียง เป็นที่ดินตอนที่สามีของนางยังอยู่ทำการถางไว้

ทำการบำรุงมาหลายปี ถือเป็นที่นาที่อุดมสมบูรณ์แล้ว

พอรู้ว่าเป็นที่นาของครอบครัวเฉินเหมยเซียง ผู้ใหญ่บ้านมีความมั่นใจมาก “เฉินเหมยเซียงพูดด้วยง่าย อีกทั้งนางยังต้องทั้งดูแลพ่อแม่สามีและลูกๆ ของนางด้วย การทำนาเดิมทีก็เป็นงานที่เหนื่อยมาก ถึงตอนนั้น ข้าจะใช้นามของหมู่บ้าน ให้ค่าชดเชยนางทุกปี พวกเจ้ากลับไปเตรียมการเพาะปลูกได้เลย!”

ลู่ม่านคิดว่าเฉินเหมยเซียงเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ดังนั้นจึงกลับบ้านไป

เพราะนี่เป็นพื้นที่ทดลอง ดังนั้นครั้งนี้ลู่ม่านไม่ได้คิดจะว่าจ้างคนงานชั่วคราว

ในช่วงกลางคืนก่อนจะเข้านอน นางคุยกับเฉินจื่ออานด้วยเสียงเบา “คราวนี้ไม่แน่อาจจะเป็นโอกาสที่ดี ถ้าคำสั่งจากซือหนงซื่อ*(กรมเกษตร)เราทำได้ดี บางทีอาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านในการสอบบัณฑิตภายภาคหน้า”

นี่ก็เหมือนกับการเพิ่มสิทธิพิเศษในยุคปัจจุบัน มีจุดที่โดดเด่นบ้างไม่ใช่เรื่องไม่ดี

“ดังนั้น จื่ออาน จ้าอนากให้โอกาสนี้กับท่าน จะยกให้ท่านจัดการทุกอย่าง ส่วนข้านั้น จะคอยช่วยงานท่านอนู่ข้างๆ แต่คนที่ทำงานหนักที่สุดคือท่าน อย่ากลัวเหนื่อยเชียวนะ!”

เฉินจื่ออานไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี ความจริงแล้ว ถ้าลู่ม่านเป็นผู้ชาย นางคงจะเก่งกาจกว่าผู้ชายเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้ แต่ว่า ตอนนี้นางกลับมอบโอกาสทั้งหมดนี้ ให้กับเขา...

“เสี่ยวม่าน ขอบใจเจ้ามาก”

“พูดอะไรของท่าน” ลู่ม่านมองด้วยความโมโห “นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

เฉินจื่ออานยกยิ้มบาง ก่อนจะกอดเอวของลู่ม่านไว้ แล้วนอนหลับไป

วันรุ่งขึ้น เฉินจื่ออานทำการหยุดเรื่องเรียนทั้งหมด และสองสามีภรรยาก็ตรงไปที่นาตั้งแต่เช้า หลายวันก่อน เฉินเหมยเซียงได้จ้างคนงานชั่วคราวมาทำการถางหญ้าไว้แล้ว

ตอนนี้พวกเขาแค่ทำการพรวนดินในคันนา และทำการปลูกต้นกล้าพริกลงไปก็เรียบร้อยแล้ว

ต้นกล้าที่ใช้เป็นส่วนที่เหลือจากการปลูกที่นาห้าสิบไร่ก่อนหน้านี้ เพราะยังมีเหลืออยู่อีกมาก จึงมีพอใช้ ทั้งสองคนหนึ่งขุดรู อีกคนทำการนำต้นกล้าลงปลูก ทำงานกันอย่างมีความสุข

ในเวลาหนึ่งวัน ก็ทำการปลูกได้หนึ่งหมู่กว่าแล้ว เพราะเป็นพื้นที่ทดลอง ดังนั้นทั้งสองจึงทำงานกันอย่างระมัดระวัง

ลู่ม่านทำการปลูกไปด้วย และอธิบายเทคนิคการเพาะปลูกให้เฉินจื่ออานฟังไปด้วย เช่น ความชื้นของดินที่ใช้ปลูก อุณหภูมิ และองค์ประกอบทั้งสามประการในการงอกของต้นอ่อน

ในยุคปัจจุบัน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่สำหรับคนในยุคโบราณแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าจะสรุปออกมาอย่างไร

ลู่ม่านจึงทำการสรุปออกมา ให้เขาได้รู้ไว้ก่อน

ตอนกลางคืน พอลู่ม่านนอนลงบนเตียง นางก็บ่นออกมา “โอ๊ย การทำนาเหนื่อยมากจริงๆ”

แต่ว่า มันเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมาก

ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน จังหวะการใช้ชีวิตในเมืองนั้นเร็วมาก ทำให้มีหลายคน ที่คิดอยากไปใช้ชีวิตทำนาในชนบท

แต่ว่า จังหวะการใช้ชีวิตในชนบทก็ช้าเกินไป การพัฒนาในแต่ละด้านก็ยังไม่เจริญรุ่งเรือง หลายคนไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับเข้ามาในเมืองด้วยเหตุผลที่ไม่สะดวกหลายประการ

แต่ลู่ม่านไม่เหมือนคนอื่น ตอนนี้นางกลายเป็นชาวนาชาวไร่ของที่นี่โดยสมบูรณ์แล้ว

หลังจากพักผ่อนทั้งคืน ทั้งสองคนเติมพลังงานจนเต็มที่ วันรุ่งขึ้น ทั้งสองก็ตรงไปที่ทุ่งนาเช่นเคย

แต่ใครจะคิด ยังไปไม่ถึงที่นา ก็เห็นคนกลุ่มคนกำลังยืนล้อมอยู่ เฉินจื่ออานกับลู่ม่านชะงัก ก่อนจะรีบฝ่าฝูงชนและเดินเข้าไป

สิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าคือเฉินเซิงยืนขวางที่นาไว้ แล้วยืดคอตะโกนเถียงกับผู้ใหญ่บ้าน

มีคนตะโกนออกมา “จื่ออานมาแล้ว จื่ออานมาแล้ว...”

ผู้ใหญ่บ้านหันมองไปที่เฉินจื่ออานอย่างจนใจ “จื่ออาน เจ้ามาแล้วเหรอ”

“ผู้ใหญ่บ้าน นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เฉินจื่ออานเอ่ยถาม

“ก็เรื่องที่นาตรงนี้แหละ เหมยเซียงตกลงรับปากแล้ว แต่ใครจะรู้ ว่าน้องเขยไม่ได้เรื่องของนางนี่สิ เขาบอกว่านาผืนนี้เขากับพี่ชายช่วยกันถางออกมา ตอนนี้พี่ชายของเขาจากไปแล้ว ก็ต้องตกเป็นของเขา เขาไม่ยอม ไม่มีใครสามารถทำอะไรที่นี่ได้”

พอได้ยินแบบนี้ เฉินจื่ออานกับลู่ม่านก็เหลือบมองไปตรงบริเวณที่พวกเขาปลูกพริกไว้เมื่อวานนี้ทันที ครึ่งหนึ่งถูกเฉินเซิงทำลายไปแล้ว ต้นกล้าพริกที่ปลูกลงไปส่วนใหญ่จะถูกดึงและโยนลงบนคันนาแล้ว

ลู่ม่านกัดฟันกรอด ในใจรู้สึกโมโหมาก

อารมณ์ของเฉินจื่ออานก็โมโหไม่ต่างกัน นี่เป็นผลงานที่เขากับลู่ม่านช่วยกันปลูกทั้งวัน แต่มันกลับพังทลายไปแบบนี้

“เฉินเซิง เจ้าต้องการอะไร” เฉินจื่ออานกัดฟันถาม

“ข้าไม่ได้ต้องการอะไร แต่ที่นาผืนนี้เป็นของข้า ใครก็ห้ามปลูกอะไรทั้งนั้น!”

ตามที่ผู้ใหญ่บ้านพูด เฉินเซิงคนนี้เป็นคนที่ไม่ได้เรื่องมาก ผู้ใหญ่บ้านโมโหจนแทบอยากจะตีให้ตาย “เรื่องนี้ หมู่บ้านได้ทำสัญญากับพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว บนสัญญา พี่สะใภ้ของเจ้าก็ทำการประทับรอยนิ้วมือไว้แล้วด้วย...”

“อันนั้นไม่นับ!” เฉินเซิงยังคงทำท่าทางกวนประสาทอยู่เหมือนเดิม “ข้าบอกไปแล้วไง ที่นานี้ข้ากับพี่ชายถางขึ้นมาด้วยกัน เกี่ยวอะไรกับนางด้วย ตอนนี้ยกให้นางไป ถ้าในอนาคตเธอจากไป แล้วเอาไปให้ชายอื่น ข้าจะไปเอาคืนจากใคร?”

คำพูดของเฉินเซิงไม่น่าฟังเอามากๆ ยิ่งโดยเฉพาะทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าเฉินเหมยเซียงพยายามดูแลคนในครอบครัวของพวกเขาดีมากแค่ไหน

คนที่ทนฟังไม่ได้จึงกล่าวขึ้นมา “เจ้าพูดแบบนี้ในใจไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะเหมยเซียง พ่อแม่ของเจ้าคงไม่มีใครดูแลเลี้ยงดู...”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย!” เฉินเซิงยังคงทำท่าทางหน้าด้านหน้าทน แล้วกล่าวสาปแช่งคนรอบข้างอย่างสาดเสียเทเสีย

มีคนอยากจะพุ่งเข้าไปต่อยหน้า แต่ถูกห้ามไว้ “ไอ้บ้านั่นเลวทราม ถ้าเขาทำร้ายเจ้าขึ้นมา เขาไม่จ่ายค่ารักษาให้แน่ ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดเลย”

ทุกคนค่อยๆ แยกย้ายกันไป เฉินเซิงดูท่าทางได้ใจยิ่งขึ้นไปอีก

“ยังไง? พวกเจ้าจะออกไปเอง หรือจะให้ข้าไล่ออกไป” เฉินเซิงมองที่เฉินจื่ออาน

เฉินจื่ออานขมวดคิ้ว และกำลังจะพูด แต่เฉินเหมยเซียงเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาซะก่อน “น้องเขย นี่เจ้ามาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ทำไม”

เฉินเซิงส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ มาแล้วก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปบอก ที่นาผืนนี้ข้ากับพี่ชายเป็นคนทำด้วยกัน ตอนนี้พี่ชายของข้าไม่อยู่แล้วมันก็ต้องตกเป็นของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรกับของในบ้านของข้า”

“น้องเขย...” เฉินเหมยเซียงหน้าซีด “จริงอยู่ที่เจ้ากับพี่ชายเป็นคนทำถางที่นาผืนนี้มาด้วยกัน แต่ตอนที่ข้าแยกบ้าน ทางข้าได้ชดเชยให้เจ้าไปแล้ว ที่นาผืนนี้ เดิมทีมันไม่ใช่นาที่อุดมสมบูรณ์ พวกข้าเอานาที่อุดมสมบูรณ์ไปแลกกับเจ้ามาแล้ว!”

ทันทีที่เฉินเหมยเซียงพูดแบบนี้ออกมา สีหน้าของเฉินเซิงก็ยิ่งดุร้าย “นังบ้าเจ้าพูดบ้าอะไร”

“เฉินเซิง พูดระวังปากของเจ้าด้วย!” ผู้ใหญ่บ้านพูดออกมา เดิมทีเขาก็ไม่ชอบท่าทางเสเพลไม่ได้เรื่องของเฉินเซิงมานานแล้ว โดยเฉพาะ ในตอนนี้เขายังพูดจาหยาบคายกับพี่สะใภ้แบบนี้อีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน