ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 181

ผู้ใหญ่บ้านเฉินถอนหายใจ “เสี่ยวม่าน ไม่เป็นไร มีเจ้ากับลุงอยู่ จะปล่อยให้นางถูกรังแกได้อย่างไร ตราบใดที่นางยังอยู่ในตระกูลเฉิน ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เฉินเซิงรังแกพวกนางได้!”

แล้วถ้านางไม่อยู่ในตระกูลเฉินแล้วจริงๆ ล่ะ? ลู่ม่านคิดกับตัวเองในใจ

แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดออกมา ยุคโบราณกับยุคปัจจุบันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงในยุคปัจจุบันถ้าหย่าร้าง จะได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่ง นี่คือหลักประกันในยุคปัจจุบันที่มีต่อผู้หญิง

แต่ว่า ในยุคโบราณ ผู้หญิงมักจะเป็นเพียงเครื่องประดับ ถึงจะหย่าร้าง ส่วนใหญ่ก็ถูกหย่าทิ้ง

มีผู้หญิงบางคนที่เข้มแข็ง สามารถทำการหย่าร้างอย่างเสมอภาคได้ แต่มันก็เป็นแค่การหย่าร้างอย่างเสมอภาคเท่านั้น... สิทธิที่ได้มากที่สุดคือการมีความเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่ไม่มีวันยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า

แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านที่ดูเหมือนจะยุติธรรมและเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาตลอด ในใจก็ยังคิดอย่างนั้น

นี่เป็นข้อเสียของประเพณียุคโบราณ และนางก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

พอคิดถึงตรงนี้ ลู่ม่านก็พยักหน้า และคิดในใจ หรือว่านางควรจะหาเวลาไปคุยกับเฉินเหมยเซียงเป็นการส่วนตัวสักครั้ง ให้นางมีความคิดที่จะป้องกันตัวเองบ้าง?

โฉนดที่ดินทำเสร็จอย่างรวดเร็ว ส่วนเฉินเซิงเองก็ปิดปากไม่กล้าพูดอะไรอีก

เดิมทีเฉินเหมยเซียงอยากจะไปช่วยงานลู่ม่านด้วย แต่ลู่ม่านบอกว่าเป็นทำเป็นพื้นที่ทดลอง พวกเขาต้องทำทั้งหมดด้วยตัวเอง เฉินเหมยเซียงจึงพยักหน้าเข้าใจและกลับไปทำงานต่อ

ทั้งสองใช้เวลาอีกครึ่งวัน ทำการฟื้นฟูส่วนที่ถูกทำลายไปกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ในช่วงบ่าย ตาแก่เฉินก็มาหา แต่เขาไม่ได้ลงนา แค่ยืนบนคันนาและชี้แนะข้อบกพร่องข้อบกพร่องในส่วนที่เขาเห็นออกมาทีละอย่าง

แต่ต้องยอมรับเลยว่า ถึงแม้ตาแก่เฉินจะไม่มีการศึกษา แต่เขาก็มีทักษะการทำนาเพาะปลูกในรูปแบบของตัวเอง มีบางจุด ลู่ม่านที่มีความรู้แค่ที่เคยเรียนจากหนังสือมา ก็ไม่ได้ละเอียดถี่ถ้วนเหมือนตาแก่เฉิน

เฉินจื่ออานถือโอกาสนี้ทำการศึกษากับตาแก่เฉินอย่างจริงจัง และขอให้ตาแก่เฉินมาสอนทักษะการทำนาให้เขาทุกวัน

ต่อมา เหอซานก็มา เขาบอกถึงทักษะในการปลูกถั่วเหลืองที่ทางหมู่บ้านพวกเขามี ซึ่งมันมีประโยชน์ต่อเฉินจื่ออานมาก

เขาวุ่นอยู่กับการทำนา และตั้งใจเรียนรู้และจดจำไว้ในใจ

ตอนที่อาจารย์โจวกลับมา รถลากวัวก็หยุดบนถนนทางหลักของหมู่บ้านไป่ฮัว

อาจารย์โจวเองก็ได้ยินข่าวแล้ว ว่าเฉินจื่ออานกำลังทำการปลูกพื้นที่ทดลองอยู่ ดังนั้น เขาจึงรีบกลับมา ดูว่าพอจะช่วยเขาได้ไหม

แต่ใครจะคิดว่า พอเข้ามาในหมู่บ้าน เขาก็เห็นเฉินจื่ออานกำลังก้มหน้าก้มตาทำนาแล้ว บนคันนา ตาแก่เฉินกับเหอซานกำลังอธิบายอย่างช้าๆ

สามารถรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นอย่างอดทน เฉินจื่ออานคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ

อาจารย์โจวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และกลับไปที่บ้านก่อน

พอเฉินจื่ออานกลับถึงบ้าน อาจารย์โจวทำการสำรวจรอบบ้านใหม่ แล้วทำการวางแผนการศึกษาขั้นต่อไปให้เฉินจื่ออาน นอกจากเนื้อหาวิชาในสี่หนังสือห้าคัมภีร์ (ตำราสำคัญของปัญญาชนในสมัย) แล้ว อาจารย์โจวก็ทำการเพิ่มอีกหนึ่งตำราเข้าไปนั่นคือวิชาที่ว่าด้วยการทำเกษตร

อาจารย์โจวและลู่ม่านคิดเหมือนกัน ว่าชิ่วไฉและบัณฑิตในยุคก่อนราชวงศ์ถังนั้นโอกาสที่จะสอบเข้ารับงานในวังได้นั้นยากมาก แต่ถ้าเฉินจื่ออานมีความสามารถที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ก็มีจุดเด่นมากกว่าคนอื่น

สาวนเรื่องนี้ ลู่ม่านก็คุยกับเฉินจื่ออานไว้แล้ว

แน่นอนว่าเฉินจื่ออานไม่ขัดแย้งกับการตัดสินใจอย่างตรงกันของอาจารย์โจวกับลู่ม่าน อีกทั้ง ลู่ม่านยังมีความสามารถถึงขนาดนั้น เขาจะต้องพัฒนาตนเองให้ดีพอที่จะคู่ควรกับลู่ม่านได้

ในขณะที่กำลังยุ่ง ในที่สุดร้านอาหารหม้อไฟของเฉินจื่อฉายก็เปิดกิจการแล้ว

ในช่วงแรก ลู่ม่านออกข้อแนะนำให้หลายเรื่อง โดยพื้นฐานที่นางแนะนํา ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษะและแนวทางในการบริหารร้านอาหารหม้อไฟในยุคปัจจุบันลู่ม่านทำการบอกเฉินจื่อฉายอย่างละเอียด

ได้แต่หวังว่า พวกเขาจะเริ่มต้นได้ด้วยดี

ในวันเปิดทำการ เฉินจื่ออานกับลู่ม่านไปช่วยเหลือตั้งแต่เช้า ตาแก่เฉินไปถึงเร็วกว่าพวกลู่ม่าน และกำลังช่วยงานอยู่ข้างใน

และสิ่งที่ทำให้ลู่ม่านต้องตกตะลึงก็คือ พวกเฉินหลี่ซื่อก็มาด้วย แต่ว่า พวกเขาไม่ได้ช่วยงานอะไร พอมาถึงก็เดินไปหาโต๊ะนั่งลง และรอกินอย่างเดียว

มีเพียงหลิวซื่อเท่านั้นที่รู้สึกกระดากอายจึงรีบเดินไปช่วยงานในห้องครัว แต่เฉินเถาฮัวไม่ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรให้นาง เพราะนางไม่ชอบคนในบ้านเฉิน สุดท้ายหลิวซื่อก็ต้องเดินออกมาจากข้างใน

และถูกเฉินหลี่ซื่อกับเฉินจื่อฟู่ดุด่าอีกด้วย

พอเห็นลู่ม่านมาถึง ในที่สุดหลิวซื่อก็มีรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ลู่ม่านกล่าวทักทาย ก่อนจะตรงไปที่ห้องครัวเลย

ถึงแม้ลู่ม่านจะรู้ได้ว่าเฉินเถาฮัวไม่ชอบหน้าตนเอง แต่เพราะเฉินจื่ออาน นางจึงทำได้เพียงถลึงตาใส่และแอบพูดจิกกัดนางเท่านั้น

ลู่ม่านทำได้เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น นางไม่เอาท่าทางของเด็กน้อยมาใส่ใจหรอก

ในวันแรก ตามคำแนะนำเดิมของลู่ม่าน หวังว่าพวกเขาจะสามารถสร้างกิจกรรมส่วนลดพิเศษขึ้นมา เพราะที่นี่ร้านอาหารหม้อไฟนี้สร้างขึ้นมาเป็นร้านแรก

แต่ใครจะคิดว่า หลังจากเข้ามา ถึงได้รู้ว่าเฉินจื่อฉายไม่ได้เตรียมจัดกิจกรรมอะไรเลย

ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ครบครัน แต่ว่านอกจากเพื่อนและคนที่มาแสดงความยินดีแล้ว แขกส่วนใหญ่ได้แต่ยืนดูอยู่ข้างนอก

พอเห็นแบบนี้ เฉินจื่ออานจึงเดินไปถาม “พี่ใหญ่ ไม่ได้ว่าจะทำกิจกรรมเหรอ ทำไมพี่ถึงไม่ทำ”

เฉินจื่อฉายมองไปทางเฉินจื่ออานอย่างรู้สึกผิด “คือว่า เถาฮัวบอกว่า ไม่ต้องทำกิจกรรมอะไร ความแปลกใหม่ของร้านเรา ในเมืองหย่งอานก็มีร้านอาหารหม้อไฟเหมือนกัน และทำรายได้ดีมาก...”

ร้านอาหารหม้อไฟในเมืองหย่งอานที่เฉินเถาฮัวพูด ลู่ม่านรู้จัก แต่รสชาติของร้านนั้น ไม่มีน้ำมันพริกสีแดง ส่วนใหญ่จะเป็นซุปสำหรับลวกผักและเนื้อ สำหรับผู้ที่มีรสนิยมชอบรสชาติอาหารที่จัดจ้าน มันทรมานมากจริงๆ

แต่เมืองหย่งอานเป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรจำนวนมาก การค้าขายจึงไม่เลวเลยทีเดียว

แต่ว่า ในตำบลชางผิง ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมาก แต่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่น้อยมาก ไม่มีทางจะมีจำนวนมากอย่างที่คาดหวังไว้

“พี่ใหญ่…” เฉินจื่ออานเหมือนอยากจะพูดอีก แต่ลู่ม่านกลับห้ามเขาไว้

“จื่ออาน พวกเราออกไปรอกันเถอะ พวกพี่ใหญ่คงเตรียมการไว้แล้ว”

หลังจากออกไปแล้ว ลู่ม่านจึงกล่าวว่า “พวกพี่ใหญ่มีแผนของตัวเองในใจ ดังนั้นเราอย่าสร้างปัญหาเพิ่มเติมดีกว่า”

เฉินจื่ออานพยักหน้า เขารู้ว่าลู่ม่านได้บอกประสบการณ์ของนางเกือบทั้งหมดให้พวกเขารู้แล้ว ถ้าพวกเขายอมฟัง ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนในตอนนี้

เฉินจื่ออานกุมมือของลู่ม่านไว้ แล้วพูดว่า “เสี่ยวม่าน ลำบากเจ้าแล้ว”

“ข้าไม่ได้ลำบากอะไรเลย” ลู่ม่านยกยิ้ม “ข้าแค่พูดแนะนำ สุดท้ายแล้วพวกเขาต่างหากที่จะทำ”

ทั้งสองจึงหาที่ว่างนั่งลง รอเริ่มกินเลี้ยง ของขวัญที่พวกลู่ม่านมอบให้ในวันนี้ก็ดีมากเช่นกัน เป็นงานแกะสลักไม้ที่ลู่ม่านขอให้หวังเอ้อร์หนิวแกะสลักตามที่นางออกแบบมา

เป็นสัญลักษณ์ในการดึงดูดความมั่งคั่งและเงินทอง วางไว้ในร้านจะดีมาก

มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันยกนิ้วชื่นชมทันทีที่เห็นไม้แกะสลัก พร้อมกับบอกว่าเฉินจื่ออานดีกับพี่ชายคนนี้จริงๆ ตาแก่เฉินเห็นสองพี่น้องรักใคร่สนิทสนมกันแบบนี้ เขารู้สึกประทับใจมาก

มีเพียงเฉินหลี่ซื่อเท่านั้นที่ไม่พอใจ ตอนนี้เฉินจื่ออานไม่สนใจนางเลย แต่ลูกชายสองคนที่แยกบ้านออกมาใช้ชีวิตกันเองกลับสนิทสนมกันมาก

นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ทำแบบนี้คนอื่นก็จะคิดว่า อยู่ที่บ้านเฉินไม่ดีน่ะสิ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน