ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 188

จวงลี่จ้งนั้นเป็นพวกที่มีลักษณะเป็นพ่อค้าเจ้าเล่ห์ ลู่ม่านได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจไม่หยุด

ขณะที่กำลังคิดว่าจะบอกปัดอย่างไรดีนั้น ไหนเลยจะคิดว่าจวงลี่จ้งจะเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน ท่าทีดูผิดหวังมากและพูดขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่า ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว เป็นเรื่องจริงเสียอีก……”

ว่าไงนะ สมองของลู่ม่านมึนงงไปชั่วครู่

ทำไมนางจึงเห็นว่าจวงลี่จ้งมีสีหน้าที่ดูผิดหวังมาก ราวกับถูกเพื่อนของตนเองทอดทิ้ง

เพื่อน ลู่ม่านรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “เรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่มีอะไร ข้าก็แค่อยากจะทดลองทำเครื่องปรุงใหม่ๆบ้าง”

“เครื่องปรุงใหม่อะไร ใช้ถั่วเหลืองทำหรือ”จวงลี่จ้งมีท่าทีราวกับเด็กช่างสงสัยขึ้นมาทันที

ลู่ม่านกำลังอยากจะเบี่ยงประเด็นสนทนา เขาก็ทำท่าน้อยใจเสียเต็มประดา สุดท้าย ลู่ม่านก็ต้องเล่าให้ฟัง

“ก็คือเป็นเครื่องปรุงที่สามารถใช้แทนเครื่องปรุงที่ทำจากเนื้อได้ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ก็สามารถใช้ได้”

จวงลี่จ้งตาเป็นประกาย “มีของสิ่งนี้อยู่ด้วยหรือ”

“ย่อมมีแน่นอน”ลู่ม่านพยักหน้าอย่างภูมิใจ “เจ้าคงไม่เคยกินหมูสามชั้นน้ำแดงไหม สิ่งสำคัญที่สุดในหมูน้ำแดง ก็คือซีอิ๊ว ยังมี ไก่นึ่งต้นหอม ……”

ระหว่างที่ลู่ม่านพูด ก็รู้สึกว่าตนเองแทบจะน้ำลายไหลออกมาแล้ว

จวงลี่จ้งยืนขึ้นเงียบๆ “ไม่สู้พวกเราไปดูซีอิ๊วของเจ้ากันตอนนี้เลยดีกว่า”

ลู่ม่าน “……”เหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ช่วยเขียนตัวอักษรก่อน ตัวอักษร ”นับว่าลู่ม่านยังจำจุดประสงค์ที่มาได้ ครั้งนี้จวงลี่จ้งไม่ได้ปฏิเสธ เรียกให้ผู้ดูแลไปเอากระดาษซวนเนื้อดีเข้ามา เขายืนอยู่หน้าแผ่นกระดาษ ตวัดพู่กัน พลิ้วไหวราวกับหงส์เหิน

ไม่นาน อักษรคู่หนึ่งก็เสร็จสิ้น

ลู่ม่านมองดูด้วยความตกตะลึง “คิดไม่ถึงว่าคุณชายจวงท่านจะเขียนตัวหนังสือได้ดีเช่นนี้”

ผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆรู้สึกภูมิใจมาก “แม่นางคงไม่รู้สินะ คุณชายของเราเดิมทีก็เป็นซิ่วไฉเหมือนกัน”

เป็นถึงซิ่วไฉ ลู่ม่านมองจวงลี่จ้งอย่างตื่นตะลึง เดิมทีนางคิดว่า คุณชายที่เกิดในตระกูลพ่อค้าอย่างเขา ไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนอะไรมาก เพราะว่า มีครอบครัวเป็นที่พึ่งก็เพียงพอแล้ว ยังจะต้องเรียนไปทำไมกัน

ระหว่างที่ใช้ความคิด จวงลี่จ้งก็ได้โยนพู่กันขนหมาป่าที่อยู่ในมือทิ้งไป หมุนตัวเดินออกไปทางด้านนอก “ไปกันเถอะ”

ลู่ม่านเก็บกระดาษที่เขียนตัวอักษรเสร็จแล้ว รีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว “ไปไหน”

“ดูซีอิ๊ว”จวงลี่จ้งพูดอย่างเรียบๆสั้นๆ

ลู่ม่าน“……”

แม้ว่าตลอดทาง ลู่ม่านจะอธิบายให้จวงลี่จ้งฟัง ซีอิ๊วต้องใช้เวลาในการหมักให้สำเร็จอีกยาวนานมาก แต่ว่าจวงลี่จ้งต้องการไปดูให้ได้ ลู่ม่านจึงได้แต่นำเขาไปดู

ในห้องเก็บของ มีถังใหญ่หลายใบถูกวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ พอเดินเข้าไป ก็สามารถได้กลิ่นหอมกลมกล่อมเฉพาะตัวของถั่ว

จวงลี่จ้งเปลี่ยนจากคนที่มีท่าทีหยิ่งและเย็นชาในวันวานเป็นเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เอาแต่ถามถึงหลักการที่ลู่ม่านทำให้ถั่วกลายเป็นซีอิ๊ว ลู่ม่านพูดถูๆไถๆไปเรื่อย ในที่สุดจวงลี่จ้งก็ยอมปล่อยลู่ม่านไม่ถามต่อ

หลังจากออกมาแล้ว เขาก็พูดอย่างแน่วแน่ว่า “มาร่วมมือกันเถอะ”

ลู่ม่าน“……”

ซีอิ๊วนี้ เป็นสิ่งที่นางอยากจะทำเองจริงๆ ลู่ม่านกำลังคิดจะพูดว่า ปฏิเสธได้หรือไม่

ปรากฏว่าจวงลี่จ้งก็โยนข้อเสนอเย้ายวนใจมาให้เป็นพรวน “ไม่ต้องเป็นหุ้นส่วน ต้องการแค่ที่ปรึกษา ถ้าหากมีคนมารังแกถึงที่ ข้าจะรับผิดชอบเอง การลงทุนเรื่องสร้างโรงงานในขั้นแรก ข้าลงทุนเอง แต่ชื่อเสียงและเงินทองหลังจากนั้น พวกเจ้าเป็นคนเก็บ”

ยังมีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ ลู่ม่านมองจวงลี่จ้งอย่างสงสัย “เรื่องที่ทำแล้วได้ไม่คุ้มเสียเช่นนี้ คุณชายจวงจะทำทำไม”

“เพราะข้ามั่นใจ ว่าสิ่งที่เรียกว่าซีอิ๊วนี้ภายหน้าจะกลายเป็นของดีอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น แค่มีหุ้นหนึ่งส่วนก็ไม่น้อยแล้ว”

เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ลู่ม่านพยักหน้า “ได้ หวังเพียงแค่ว่าคุณชายจวง จะไม่เสียใจในภายหลังก็พอ”

จวงลี่จ้งยิ้มจางๆ เขาไม่มีทางเสียใจแน่

หลังจากทั้งสองคนคุยกันเสร็จแล้ว ลู่ม่านบอกว่าเรื่องนี้ต้องรอให้เฉินจื่ออานกลับมาแล้วค่อยเขียนหนังสือสัญญาต่อกัน นี่เป็นการที่ลู่ม่านให้เกียรติกับเฉินจื่ออาน

จวงลี่จ้งก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร

พอดีกับที่ เหอเยว่เอาถั่วแระกลับมาแล้ว บอกว่าจะรอให้ลู่ม่านทำถั่วแระต้ม

จวงลี่จ้งจึงไม่ยอมจากไปไหน รอจะกินด้วย

ลู่ม่านเอากระดาษที่มีตัวอักษรเขียนเอาไว้ให้กับเหอเยว่ ให้นางส่งไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็เตรียมตัวไปต้มถั่วแระ

ก่อนอื่นต้องล้างถั่วแระให้สะอาด จากนั้นก็เอาเปลือกทั้งสองด้านออก เอาลงไปในกระทะ เติมน้ำให้ท่วมถั่วแระ เติมเกลือและโป๊ยกั๊กเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว

ถั่วนั้นมีพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้เอง การต้มอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่ก็ยากจะปิดบังความหอมของเอาไว้ได้

เห็นว่าใกล้จะเที่ยงวันแล้ว ลู่ม่านจึงทำกับข้าวอีกสองสามอย่าง และเอาถั่วแระขึ้นโต๊ะ

รอให้เฉินจื่ออานกลับมา ทุกคนต่างก็นั่งล้อมโต๊ะเริ่มกินข้าวกัน

ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ ถั่วแระต้มได้รับคำชมที่ดีมาก

หลังกินข้าวเสร็จแล้ว ลู่ม่านได้พูดเรื่องที่จวงลี่จ้งได้เสนอความร่วมมือให้เฉินจื่ออานฟัง เฉินจื่ออานพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าเป็นคนทำ ฉะนั้นเรื่องการร่วมมือกัน ขอเพียงเจ้าคิดดีแล้ว ก็ทำได้”

“แต่ว่านี่เป็นครอบครัวของเรา ข้าหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมกันตัดสินใจได้”

“ได้ ”เฉินจื่ออานพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”

ช่วงบ่าย จวงลี่จ้งได้เขียนหนังสือสัญญากับเฉินจื่ออานแล้วค่อยจากไป นัดกันว่าอีกหกเดือนจะมาดูซีอิ๊วอีกครั้ง

ส่วนทางด้านโรงเรียน เฉินลี่เหิงได้รับตัวอักษรที่ลู่ม่านให้จวงลี่จ้งช่วยเขียนให้ ได้ให้คนเข้าไปในเพื่อทำเป็นป้ายขึ้นมาโดยเฉพาะ

รอให้โรงเรียนสร้างเสร็จแล้วค่อยแขวนขึ้นไป

เมื่อมีเงิน การก่อสร้างโรงเรียนก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหนึ่งเดือน หมู่บ้านไป่ฮัวก็มีวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น นั่นก็คือโรงเรียนแห่งแรกของหมู่บ้านไป่ฮัวได้ก่อสร้างเสร็จแล้ว

หมู่บ้านใกล้เคียงที่ไม่มีโรงเรียนต่างก็ส่งคนมาร่วมแสดงความยินดี และสอบถามว่าสามารถมาเรียนที่นี่ได้หรือไม่

ในเรื่องนี้ อาจารย์โจวได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้น นักเรียนในแต่ละชั้นเรียนต้องไม่เกินยี่สิบคน ตอนนี้ในโรงเรียนมีห้องเรียนทั้งหมดห้าห้อง นั่นก็แสดงว่าจำนวนนักเรียนทั้งหมดต้องไม่เกินหนึ่งร้อยคน

การเป็นโรงเรียนเล็กๆในระดับหมู่บ้าน เงื่อนไขขเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลอยู่

อีกอย่าง ถ้าหากรับสมัครนักเรียนได้หนึ่งร้อยคนจริง เช่นนั้น เกรงว่าจะต้องรับสมัครอาจารย์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก

แต่เมื่ออาจารย์โจวพูดเรื่องนี้ออกไป คนต่างหมู่บ้านต่างก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ยินดีจะส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่ และยินดีจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับอาจารย์ผู้สอนในฐานะที่เป็นคนมาจากต่างหมู่บ้าน

สุดท้าย ผู้ใหญ่บ้านเฉินได้แต่รับสมัครอาจารย์จากภายนอกต่อไป

ในเมื่อ ยังมีเวลาอีกสักระยะก่อนจะเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ ก็เปิดรับสมัครไปก่อน

อุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้ แทบจะไม่มีผลต่อความกระตือรือร้นของทุกคนเลย ในหมู่บ้านได้เตรียมต้อนรับแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วยงานเลี้ยง ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือเด็กต่างก็มาร่วมงานกันหมด

ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าครอบครัวของเฉินจื่ออานเป็นบ้านแรกที่คิดจะสร้างโรงเรียน ต่างก็มาดื่มอวยพรให้กับเฉินจื่ออาน

เฉินจื่ออานนับว่าคอแข็งใช้ได้ แต่การดื่มอวยพรเช่นนี้ ก็ทำให้ค่อยๆมึนเมาขึ้นมาแล้ว ลู่ม่านรีบไปเรียกเหอเยว่ให้กลับไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมา จากนั้นตัวเองก็คิดหาวิธีที่จะพาตัวเฉินจื่ออานออกมาจากกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่

พูดกับเหอเยว่จบแล้ว ลู่ม่านก็เดินกลับไป ปรากฏว่า คนที่มุงอยู่เหล่านั้นต่างก็หายกันไปหมดแล้ว เฉินจื่ออานก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

ลู่ม่านรีบหันไปตามหา สุดท้าย ที่มุมหนึ่งด้านหลังโรงเรียนที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ เห็นเฉินจื่ออานกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากัน

หญิงสาวมองเฉินจื่ออานด้วยสายตาเป็นประกาย ท่าทีดูยกย่องเชิดชูเขามาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน