ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 200

เดิมทีเฉินจูชิงคิดว่าเฉินหลิ่วเอ๋อนั้นเป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยมรู้จักวางตัว ได้เห็นนางแสดงท่าทีการพูดจาด้วยเสียงเล็กแหลมอย่างกะทันหัน ก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่ความงดงามของใบหน้านั้นได้ทำให้เฉินจูชิงหน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว

เขาไม่ค่อยสนใจในกิริยาไม่งามของเฉินหลิ่วเอ๋อนัก พยักหน้ารับ “ข้าเอง ข้าชื่อเฉินจูชิง”

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะชื่ออะไร เจ้าอาศัยอะไรมานัดดูตัวข้า”เฉินหลิ่วเอ๋อยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้มารยาท

ตาแก่เฉินสีหน้าดำคล้ำไปหมด “หลิ่วเอ๋อ พูดจาเหลวไหลอะไร”

“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ”นิสัยดื้อรั้นของเฉินหลิ่วเอ๋อเผยออกมาแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านนางถูกตามใจจนเคยตัว บวกกับตอนนี้นางกำลังโมโหมาก ยิ่งทำให้ไม่รู้สึกไม่กลัวอะไรเพราะมีที่พึ่งนั่นเอง

เฉินจูชิงที่อยู่ข้างๆดูออก เฉินหลิ่วเอ๋อนั้นไม่ยินดีจะมาดูตัวเลย จึงขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเอ่ยขึ้นว่า “ในใจของเจ้าคิดเช่นไร ไม่สู้พวกเราคุยกันต่อหน้าให้เข้าใจจะดีกว่า”

“ข้า……”เฉินหลิ่วเอ๋อยังอยากจะพูดต่อ เฉินหลี่ซื่อได้ปิดปากของเฉินหลิ่วเอ๋อเอาไว้ “วันนี้ลูกสาวข้าอารมณ์ไม่ดี ก็ยกเลิกการดูตัวซะดีกว่า ไว้วันหน้าค่อยว่ากันใหม่”

“ท่านป้า ให้นางพูดเถอะ”ครั้งนี้คนที่พูดขึ้นคือเฉินเหมยเซียง “พวกนางสองคน วันหน้าก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีเรื่องอะไรก็คุยกันให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยง ปัญหาที่จะตามมาในภายหน้า”

ที่เฉินเหมยเซียงพูดก็มีเหตุผล แต่คนของตระกูลเฉิน กลับไม่กล้าปล่อยมือเลย

ตอนนี้เฉินหลิ่วเอ๋อเกือบจะกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว ถ้าหากทำตามความคิดของนาง เกรงว่าการแต่งงานครั้งนี้คงล้มเหลวแน่

“ท่านป้า ให้นางพูดเถอะ”ครั้งนี้ เป็นเฉินจูชิงที่พูดขึ้น “แม่นางหลิ่วเอ๋อมีความคิดของตนเอง พวกเราไม่ควรบังคับนาง”

เฉินหลิ่วเอ๋อขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นมากับผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ แต่พอนึกถึงเรื่องที่ว่า นางเป็นผู้ที่มีชะตาชีวิตสูงส่งร่ำรวย แต่ตอนนี้ต้องมาแต่งงานกับผู้ชายที่เป็นชาวนาแม้แต่บ้านก็ไม่มีคนนี้ นางจึงทำลายความรู้สึกดีๆที่มีอยู่ในใจเพียงน้อยนิดนั้นทิ้งไป

เปิดปากพูดขึ้นอย่างหยิ่งยโสและไร้มารยาท เฉินหลิ่วเอ๋อพูดว่า “เจ้ามันก็แค่ชาวนาที่แม้แต่บ้านของตนเองก็ยังไม่มี อาศัยอะไรมาดูตัวข้า เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร”

เฉินจูชิงคงคิดไม่ถึงว่าเฉินหลิ่วเอ่อจะพูดเช่นนี้ คนทั้งตระกูลเฉินต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินหลิ่วเอ๋อจะพูดจาเช่นนี้ ต่างก็นิ่งอึ้งทันที

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ตาแก่เฉินยกฝ่ามือขึ้นฟาดลงไปที่ใบหน้าของเฉินหลิ่วเอ๋อหนึ่งที “เจ้ามันลูกไม่รักดี ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”

เฉินหลิ่วเอ๋อกุมใบหน้าเอาไว้ จ้องมองตาแก่เฉินอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด”

“ช่างเถอะ”สีหน้าของเฉินจูชิงก็ดูไม่ดีเลยสักนิด ความรู้สึกดีๆที่มีต่อเฉินหลิ่วเอ๋อแต่แรกนั้น ทั้งหมดถูกพังทลายไปจนสิ้นในพริบตา

กำมือไว้แน่น เขาเอ่ยอย่างไม่หยิ่งยโสและไม่ถ่อมตนจนเกินไปว่า “แม่นางหลิ่วเอ๋อพูดถูก ข้าไม่มีอะไรเลย ไม่ควรจะทำให้แม่นางหลิ่วเอ๋อเสียเวลาด้วย เรื่องของวันนี้ เป็นข้าที่คิดเพ้อเจ้อไปเอง วันหลัง ข้าจะไม่รบกวนแม่นางหลิ่วเอ๋ออีก ขอตัวลา”

พูดจบ เขาก็เดินตัวตรงออกไปจากภัตตาคารเฟิ่งหลายทันที

เฉินเหมยเซียงขมวดคิ้ว ส่งสายตาให้กับลู่ม่านครู่หนึ่ง แล้วตามออกไป

เดิมทีเป็นเรื่องดีๆเรื่องหนึ่ง แค่ชั่วพริบตา ก็กลายเป็นเรื่องบาดหมางกันเสียแล้ว

ตาแก่เฉินโมโหจนแทบจะกระอักเลือด เดิมทีก็มีท่าทีไม่เลวนัก ตอนนี้ร่างกายเริ่มโอนเอน แทบจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว

หลังจากกลับไปแล้ว ตาแก่เฉินก็ล้มป่วยลง

เรื่องของเฉินหลิ่วเอ๋อจึงต้องทิ้งไว้ก่อน และไม่มีใครเอ่ยถึงอีก

ทางด้านเฉินจูชิง ยังคงทำงานเหมือนปกติ การทำงานในทุกวัน กลับยิ่งทุ่มเทกว่าเดิมอีกมากมายนัก

เพียงแต่เฉินจื่ออาน เป็นเพราะรู้สึกไม่ผิด จึงคิดเชิญเฉินจูชิงมากินข้าวที่บ้านตั้งหลายครั้ง แต่ก็ถูกเฉินจูชิงปฏิเสธทุกครั้ง

หลังจากนั้นลู่ม่านบอกว่าเกรงว่าเด็กคนนี้จะถูกทำลายศักดิ์ศรีแล้ว ให้เฉินจื่ออานปล่อยให้เขาได้สงบจิตใจสักพัก

……

เมื่อเข้าสู่เดือนหก ในเมืองเกิดคึกคักขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ตอนเช้าขณะที่ลู่ม่านไปตลาด พบว่าคนที่มาจ่ายตลาดเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนเยอะมาก ไม่เพียงเท่านี้ ใบหน้าของทุกคนยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ลู่ม่านได้คุยกับเหอเยว่อย่างรู้สึกประหลาดใจ ถูกท่านป้าที่อยู่ข้างๆคนหนึ่งได้ยินเข้าพอดี

ท่านป้าคนนั้นดูกระตือรือร้นมาก พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าคงไม่รู้สินะ สงครามทางเหนือได้หยุดลงแล้ว ครั้งนี้ราชสำนักของเราชนะสงครามด้วย”

เหอเยว่รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที “จริงหรือ มีที่ใดบ้าง”

ท่านป้าคนนั้นไม่รู้เรื่องนัก พูดคร่าวๆมาไม่กี่ที่ เหอเยว่ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ “นั่นคือบ้านเกิดข้าเอง”

“เช่นนั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วย”ลู่ม่านพูดยิ้มๆ

เหอเยว่กลับร้องไห้ออกมา “ถ้าหากท่านพ่อท่านแม่ กับพวกพี่ชายยังอยู่ละก็ คงจะดีไม่น้อย ในที่สุดก็รอจนถึงวันเวลาดีๆ แต่ว่าพวกเขาต่างก็ไม่อยู่แล้ว”

สำหรับเรื่องนี้ ลู่ม่านก็รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง

“คนตายแล้วไม่สามารถฟื้นชีพได้ เจ้าต้องใช้ชีวิตในส่วนของเจ้าให้ดี พวกเขาจึงจะสบายใจ”

เหอเยว่พยักหน้า “อืม พี่เสี่ยวม่าน ข้าจะจำไว้”

ทั้งสองคนซื้อของกลับมามากมาย ตอนที่เดินทางกลับ ลู่ม่านเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และถามขึ้นว่า “เสี่ยวเยว่ ภายหน้าเจ้าวางแผนเอาไว้อย่างไร จะกลับบ้านเกิดหรือ”

เหอเยว่นิ่งอึ้ง ดูเศร้าสร้อยลงทันที “ข้าเองก็ยังไม่รู้ เรื่องนี้ยังต้องถามท่านปู่ก่อน ท่านปู่อยากกลับไปที่บ้านเกิดมาก”

“อืม”ในใจของลู่ม่านเองก็เกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา แม่ว่าพวกเหอเยว่จะมาได้ไม่กี่เดือน แต่พวกเขาสองปู่หลานต่างก็เป็นคนดีมาก

และลู่ม่านก็คุ้นเคยแล้ว คิดว่าพวกเขาเป็นญาติคนหนึ่ง ถ้าหากครั้งนี้พวกเขาจากไปแล้ว เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสจะได้พบหน้ากันอีก

ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ต่างก็กลับบ้านกันอย่างเงียบๆ

หลังจากกลับถึงบ้าน เหอซานได้ยินข่าวคราวนี้แล้วก็ตื้นตันจนน้ำตาไหล รีบไปหยิบธูปกับเทียนออกมา จุดคำนับไปยังทิศทางบ้านเกิดของตนเองอยู่เป็นเวลานานกว่าจะลุกขึ้นมา

“คิดไม่ถึงว่า ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถได้เห็นบ้านเกิดถูกกู้คืนมาได้”

“ท่านปู่ ” เหอเยว่ก็รู้สึกดีใจจนร้องไห้ออกมา

ร้องไห้อยู่พักใหญ่ ทั้งสองก็ยืนลุกขึ้นมา แล้วก็เริ่มคำนับลู่ม่านกับเฉินจื่ออาน “ถ้าหากไม่ได้การดูแลจากท่านทั้งสอง พวกเราคงไม่มีชีวิตรอดมาจนป่านนี้”

ลู่ม่านรีบเข้าไปห้ามเอาไว้ “พวกเจ้าก็ช่วยเหลือข้าไม่น้อย อย่าพูดเช่นนี้เลย”

“ใช่แล้ว ถ้าหากไม่มีพวกเจ้า บ้านของพวกเราก็คงจะวุ่นวายน่าดู”เฉินจื่ออานพูดยิ้มๆ “วันนี้เป็นวันดี พวกเราทำกับข้าวให้มากหน่อย ฉลองกันให้เต็มที่ ข้าจะไปรับท่านพ่อจากบ้านหลังเก่า พวกเจ้าก็คุยกันไปก่อน”

หลังจากที่ตาแก่เฉินป่วยจนหายดีแล้ว ร่างกายก็ไม่สู้จะดีนัก ดูแล้วไม่ค่อยจะดีกว่าอาการหลังหายป่วยเมื่อสองครั้งก่อนหน้านี้

ฉะนั้น เฉินจื่ออานไปรับเขามา ที่จริงก็หวังว่าจะให้เขาได้คุยกับเหอซานที่เขารู้สึกคุยถูกคอ เพื่อผ่อนคลาย

ลู่ม่านจึงไปช่วยงานเหอเยว่ ไม่ช้าเฉินจื่ออานก็รับตัวตาแก่เฉินมาถึง

คนแก่ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องในวัยหนุ่ม คุยถึงเรื่องบ้านเกิดและดูมีความสุขกันมาก

เมื่อถึงตอนค่ำ หลังจากตาแก่เฉินกลับไปแล้ว เหอซานกับเหอเยว่จึงเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าพวกลู่ม่าน “ขอบคุณการดูแลอย่างดีจากแม่นางและนายท่าน ถ้าหากไม่ได้ทั้งสองคนช่วยไว้พวกเราคงตายไปนานแล้ว ตามหลักแล้ว ตอนแรกพวกเราทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ ไม่ควรยื่นข้อเสนอที่มากเกินไป แต่ข้าอายุมากแล้ว……”

ระหว่างที่เหอซานพูด น้ำตาก็ไหลพรากลงมาด้วย

เฉินจื่ออานรีบยื่นมือออกไปเพื่อจะประคองเขา แต่เหอซานกลับปฏิเสธ

“ข้าอายุมากแล้ว คิดว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มาก ความหวังสุดท้าย คือก่อนจะตายสามารถกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน