ตอน บทที่ 302 มีคนหนุนหลังดี ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว จาก ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 302 มีคนหนุนหลังดี ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน ที่เขียนโดย ฝูเชิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“แม่ของเจ้าไม่รู้ความ เจ้ากับจื่ออานอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะ!” ตาแก่เฉินพูดอ้อมแอ้ม
ลู่ม่านส่ายหน้า “ไม่หรอก!” พูดจบ นางก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “พ่อ วันนี้ที่บ้านมีแขก พ่อก็อยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่เลยดีหรือไม่?”
“ไม่ล่ะ!” ตาแก่เฉินโบกมือแล้วหันหลังเดินจากไป แต่จู่ ๆ ก็หันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน แล้วพูดว่า "ถ้าจื่ออานกลับมาแล้ว เจ้าก็หาเวลาว่าง ๆ เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังสักหน่อย ให้เขา ...... "
ในที่สุดคำพูดประโยคท้าย ตาแก่เฉินก็หยุดชะงักไปแล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก ตัวลู่ม่านเองก็ไม่เอ่ยถาม เพียงแค่พยักหน้ารับ "ได้!"
ลู่ม่านมองส่งตาแก่เฉินเดินจากไปจนลับตา ก่อนที่จะหันหลังกลับไปทำอาหารต่อ
ในตอนค่ำ ลู่ม่านทำน้ำแกงเป็ดตุ๋นตามคาด ยังมีพวกผักเครื่องเคียงที่กินแล้วคล่องคออีกจำนวนหนึ่ง ด้วยความที่เมื่อกลางวันทำงานท่ามกลางอากาศที่ร้อนเกินไป ทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร กินของพวกนี้ช่วยให้เจริญอาหารได้ดี
หลังจากทำเสร็จ ลู่ม่านก็เล่าเรื่องที่ตาแก่เฉินมาหาเมื่อตอนบ่ายวันนี้ให้เฉินจื่ออานฟังด้วย
เฉินจื่ออานก็รู้สึกกังวลใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตาแก่เฉิน เขาดูสงบนิ่งกว่ามาก พอคิดไปคิดมา หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ตัดสินใจกลับไปบ้านเก่ารอบหนึ่ง
ลู่ม่านเห็นว่าเขาออกบ้าน ก็ยกน้ำแกงเป็ดตุ๋นจานใหญ่ที่ทำเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าออกมา แล้วไล่ตามเขาไปทันที
“จื่ออาน ฝากเอาเจ้านี่ไปให้พ่อด้วยสิ!”
เฉินจื่ออานรับมันไป ก่อนจะยิ้มให้ลู่ม่าน “เสี่ยวม่าน เป็นเจ้าที่ใส่ใจแล้ว”
“อย่าปากหวานน่า!” ลู่ม่านหันหลังกลับเดินเข้าบ้านไป
เฉินจื่ออานก็ไม่รู้ว่าไปพูดเรื่องอะไร ผ่านไปจนดึกดื่นค่อนคืนถึงค่อยกลับมา เข้าไปนอนบนเตียงพร้อมกับไอน้ำที่ติดตัวมาทั่วร่าง ลู่ม่านที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจดังเฮือก
"ทำไมพวกแม่ถึงได้โง่เขลากันเช่นนี้นะ? ไปตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?"
ลู่ม่านลืมตาขึ้นด้วยความง่วงงุน กลอกตามองบนใส่เฉินจื่ออานด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก “คนโง่ก็คือเจ้าเองนี่ล่ะ การที่พวกแม่ถูกซวนเหวินลี่พาตัวไปได้ เจ้าก็ควรจะรู้แล้วว่า พวกเขาจะต้องมีตาชั่งวัดน้ำหนักอยู่ในใจเช่นเดียวกันกับพี่รองนั่นล่ะ”
“พ่อบอกให้ข้าหาทางพาพวกเขากลับมา แต่ในเมื่อพวกเขาไปแล้ว ก็คงยากที่จะย้อนกลับมาแล้วล่ะ ถ้าเกิดไปทำเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา นั่นก็ยิ่งอันตรายมาก”
เฉินจื่ออานไม่ได้โง่! นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ลู่ม่านรู้สึกสบายใจได้ประการหนึ่ง “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว เรื่องสำคัญเร่งด่วนย่อมต้องจัดการทันที ถึงอย่างไรก็ต้องส่งคนที่อยู่ในวังออกไปก่อน เพราะเอาเข้าจริงบ้านเราตอนนี้ก็ไม่ปลอดภัยหรอกนะ”
นี่เป็นเรื่องจริง แต่พอลู่ม่านพูดแบบนี้ เฉินจื่ออานก็เกิดความรู้สึกตื่นตัวระวังภัยขึ้นมาทันที ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอะไรอีก
ลู่ม่านค่อยพลิกตัวกลับมา มุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็หลับสนิทไปในที่สุด
ใต้เท้าจินยุ่งกับการพาคนไปทำงานอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เก็บพริกได้จนหมด รูปแบบแปลงนาทดลองแห่งนี้ก็จะเป็นแบบนี้ ผลผลิตชุดแรกถวายให้ฝ่าบาท ส่วนผลผลิตชุดหลังพวกลู่ม่านสามารถจัดการกันเองได้ตามสะดวก
เฉินจื่ออานต้องนั่งเขียนรายงานเกี่ยวกับการปลูกพริก รวมถึงเรื่องที่ต้องให้ความสนใจในการเพาะปลูกแบบข้ามวันข้ามคืน ส่งให้กับใต้เท้าจินเพื่อนำกลับไปด้วย
ปีหน้า ก็คงจะเปิดตัวได้ทั่วประเทศแล้วกระมัง?
ทันใดนั้นลู่ม่านก็เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา เพราะถึงอย่างไร นี่ก็ถือว่าเป็นความหมายของการดำรงอยู่ของนาง ไม่เสียแรงที่นางมีโอกาสเหยียบย่างมายังยุคก่อนราชวงศ์ถังแบบนี้
หลังจากส่งใต้เท้าจินกลับไป ลู่ม่านก็เริ่มจัดระเบียบข้าวของทั้งหลาย สมควรต้องเตรียมตัวไปเมืองหลวงได้แล้ว ก่อนหน้านี้ เฉินจื่ออานไม่สามารถต้านทานคำขอร้องอันดื้อดึงของตาแก่เฉินได้ ว่าต้องให้เฉินจื่ออานไปที่อำเภอกับเขาสักครั้ง
ลู่ม่านมักรู้สึกอยู่เสมอว่า ซวนเหวินลี่เป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย เพราะกลัวสถานการณ์ไม่คาดฝัน จึงตัดสินใจไปกับเขาด้วย
เมื่อพวกเขามาถึงอำเภอ ทั้งหมดไม่ได้หยุดที่นั่น แต่ตรงไปยังที่อยู่ของเฉินจื่อฟู่ บ้านหลังนั้นเมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่มา ที่หน้าประตูมีอักษรคำว่า "ซังฮี้ " แขวนเอาไว้ให้เห็นเด่นหรา
ทั้งหมดเข้าไปเคาะประตูโดยตรง มีเด็กรับใช้คนหนึ่งมาเปิดประตู คำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากคือ “พวกเจ้าเป็นใครกัน? มาเคาะประตูมั่วซั่วแบบนี้”
ผลคือเมื่อไม่นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ขอต้อนรับในฐานะครอบครัวเดียวกัน เฉินจื่ออานขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะประกาศชื่อแซ่ เด็กรับใช้คนนั้นถึงพูดว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปรายงานฮูหยิน!”
“ข้าบอกว่าข้าไม่กลับไปเด็ดขาด พ่อจะให้พูดกี่ครั้งข้าก็จะพูดแบบนี้!” เฉินหลิ่วเอ๋อดูเหมือนจะไม่อยากกลับไปจริง ๆ ดังนั้นในคำพูดของนางจึงมีการต่อต้านปฏิเสธแบบหัวชนฝา
ตอนนี้เองที่ตาแก่เฉินค่อยหันไปมองเฉินหลี่ซื่อ ทั้งร่างสั่นเทาด้วยความโกรธสุดขีด “เจ้าสอนลูกสาวได้ดียิ่งนัก!”
เฉินหลี่ซื่อก้มหัวลงด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่อยู่ในตระกูลเฉิน นางคงจะรีบปกป้องตัวเองอย่างหวาดวิตกไปแล้ว แต่ครั้งนี้ นางกลับยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ลู่ม่านมักรู้สึกอยู่เสมอว่า เฉินหลี่ซื่อต้องรู้แน่ว่าเฉินจื่อคังยังไม่ตาย เพราะผลลัพธ์ที่เห็นอยู่ตอนนี้คือนางดูมีความมั่นใจมาก
แต่ตาแก่เฉินกลับยังไม่รู้ตัว เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมองไปที่เฉินหลี่ซื่ออีกครั้งแล้วพูดว่า “ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก เจ้ารีบพาหลิ่วเอ๋อออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ตาแก่!” เฉินหลี่ซื่อเรียกตาแก่เฉิน “จื่อฟู่รั้งให้ข้ากับหลิ่วเอ๋ออยู่ที่นี่ระยะยาว ลูกของเมียเจ้ารองก็กำลังจะคลอดแล้ว ข้าจะอยู่ดูแลพวกเขาที่นี่.....”
เฮ้ย! เฉินหลี่ซื่อเปลี่ยนเป็นคนฉลาดขึ้นมาแล้วสิ ไม่กระโชกโฮกฮากเหมือนแต่ก่อนแล้ว!
ตาแก่เฉินขมวดคิ้วมุ่น เหลือบมองหยวนซื่อที่ยืนเอามือพยุงท้องอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ที่นี่นางมีคนดูแลมากพอแล้ว ไม่ต้องการให้เจ้ามาคอยดูแลอยู่ที่นี่หรอก ถ้าจะพูดไป อย่างเจ้าจะดูแลอะไรใครได้?”
เฉินหลี่ซื่อยังคงพูดจาด้วยท่าทางที่เหมือนกับภรรยาผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่กล้ามีปากมีเสียงว่า “ทำไมข้าจะดูแลใครไม่ได้? ข้าคลอดลูกห้าคน ไม่ใช่ว่าข้าก็ล้วนเป็นคนดูแลพวกเขาเองทั้งหมดหรอกรึ?”
“เจ้า…..” ตาแก่เฉินกัดฟันกรอด เดินตรงเข้าไปหาเฉินหลี่ซื่อ พูดทั้งที่กัดฟันอย่างโกรธจัดว่า “ยายแก่อย่างเจ้านี่นะ อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ จื่อคังมันไม่ใช่จื่อคังคนเดียวกันกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางมีชีวิตที่ดีอะไรมากมายนักหรอก”
แต่เฉินหลี่ซื่อกลับแสร้งทำเป็นโง่ “ตาแก่ นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ? เป็นจื่อฟู่ต่างหากที่ขอให้ข้ามาอยู่ที่นี่!”
ตาแก่เฉินถูกยั่วโมโหจนระเบิดโทสะ แผดเสียงตะโกนดังลั่น “ได้! ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่นัก ข้าก็จะหย่ากับเจ้า!”
เมื่อก่อน ขอแค่พูดออกมาว่าจะหย่ากับเฉินหลี่ซื่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็จะยอมประนีประนอมหมดทุกอย่าง เหมือนว่าตาแก่เฉินจะคิดไปว่าวิธีนี้มันคงจะยังใช้ได้ผลอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเฉินหลี่ซื่อกลับหันหลังมาแล้วพูดว่า “ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ ตาแก่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน
เป็นพอ.ที่กลับกรอก เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ยอกจะออกจากครอบครัวเลวๆนี่ไม่จริงอีก ภาระของนางเอก ถ่วงแข้งถ่วงขาจริงๆ...
เด็กไม่ตายเพราะแม่คลอดยากจะตายเพราะคนรับใช้ป้อนโจ๊กข้าวจนอิ่มตื้อ รอดได้คือดวงแข็งเว่อ...
อ่านไป งงไป ตัดสินประหาร หรืออภัยโทษ?...
หม่อมข้า? ใช้ MS Word ไม่ระวังเลย...
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอน 337 แล้ว โดยภาพรวมพระเอกไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่เฉียบแหลมเลย...
อะไรจะมีปมขนาดนั้น วุ่นวายตอกย้ำเหลือเกินเกี่ยวกับระบบศักดินา ทั้งที่มันเป็นคนละยุคสมัยกัน...
ตอน285-287 หายทำไงดี...
ตอนหายค่ะ 284แล้วกระโดดไป288เลยค่ะ...
บท 285-287 หายค่ะ 284แล้ว288เลย รบกวนด้วยค่ะ...
281-311 รบกวนด้วยค่ะ...