ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 304

ถุ่ย! ลู่ม่านอดสบถด่าในสภาพที่ไร้คำพูดจะสบถด่าไม่ได้

เฉินจื่อคังช่างมีความสามารถซะจริง โครงเรื่องน้ำเน่าพรรคนี้ก็ยังอุดสาห์แต่งออกมาได้ แถมที่น่ากลัวกว่าคือดันมีคนเชื่อซะด้วยนี่สิ

เฉินจื่ออานยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “พ่อ นี่คือสิ่งที่เขาบอกกับพ่อหรือ?”

“ใช่!” ตาแก่เฉินถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกจริง ๆ “ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ ว่าจื่อคังไม่มีทางใจคอโหดร้ายขนาดนั้น ที่กระทั่งน้องสาวของตัวเองก็ยังทำร้ายได้ลงคอ เรื่องที่เขาทุบตีข้าก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นความทุกข์ยากลำบากใจของเขา ตอนนี้ข้าเข้าใจดีแล้ว....”

“แต่ว่า พ่อ ก่อนหน้านี้.…” เฉินจื่ออานอยากจะบอกว่า ก่อนหน้านี้เป็นเฉินจื่อฟู่ที่สั่งให้คนส่งพ่อกลับมา

แต่พอถึงช่วงสำคัญ ลู่ม่านกลับยื่นมือออกมาห้ามเฉินจื่ออาน " จื่ออาน พ่อสุขภาพไม่ค่อยดี ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะนะ!"

เฉินจื่ออานอ้าปากพะงาบ ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

รอจนตาแก่เฉินหลับไปแล้ว ลู่ม่านค่อยกระซิบพูดเบา ๆ ว่า “จื่ออาน ตอนนี้ดูท่าแล้วพ่อคงไม่สามารถทนฟังคำพูดของเจ้าได้หรอก อย่างไรก็อย่าพูดออกมาเลยดีกว่า เรื่องบางเรื่อง แค่ในใจเจ้ารู้ดีก็เพียงพอแล้วล่ะ”

ยิ่งไปกว่านั้น การปล่อยให้เฉินจื่อคังวางใจลง ก็ไม่แน่หรอกว่าอาจได้รับผลกำไรบางอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้!

เฉินจื่ออานก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า เมื่อครู่นี้เขาหุนหันพลันแล่นเกินไป จึงพยักหน้า แต่ก็ยังรู้สึกเคียดแค้นชิงชังไม่หาย "ข้าคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ นะ ว่าจื่อคังจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้!"

ลู่ม่านยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ "คนเราทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้นแหล่ะ!"

หลังกลับถึงบ้าน ตาแก่เฉินยังคงยืนกรานที่จะกลับไปอยู่บ้านเก่าหลังนั้นของตัวเอง พวกลู่ม่านต่างก็ไม่ได้หยุดเขา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในใจของคนเราทุกคนจะมีสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พักพิงใจของตัวเองเสมอ

บ้านเก่าหลังนั้น ถึงจะเป็นสถานที่ที่ตาแก่เฉินรู้สึกว่าเป็นของตัวเองอย่างแท้จริงสินะ

จดหมายจากเมืองหลวงส่งมาถึงแล้ว เป็นของหลี่หว่านถิง ตอบมาว่าใช่ พูดถึงร้านค้าที่อยู่ทางเมืองหลวงว่านางได้ดูมาหมดแล้ว รอแค่ให้พวกลู่ม่านไปออกแบบและตกแต่งให้นางเท่านั้น

คืนนั้น ลู่ม่านก็เก็บข้าวเก็บของ รวมถึงบรรดาของตกแต่งจำนวนหนึ่งที่นางจะนำติดตัวไปด้วย เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น

นางมอบหมายงานภายในบ้านทุกอย่างให้เหอเย่วช่วยจัดการ รวมถึงฝากฝังยายอิงว่า ถ้าว่าง ๆ ให้ช่วยไปดูที่บ้านหลังเก่าสักหน่อยด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินจื่ออานกับลู่ม่านต่างก็ตื่นกันแต่เช้าตรู่ ขณะที่กำลังเตรียมตัวจะออกบ้าน ผู้ใหญ่บ้านเฉินก็เข้ามาหา

"จื่ออานเอ๊ย นี่เจ้า ..... " ผู้ใหญ่บ้านเฉินเห็นรถม้าของพวกลู่ม่าน จึงเข้ามาถามด้วยความกังวลใจ

“อ้อ พอดีข้ามีธุระต้องไปเมืองหลวงสักครั้งน่ะขอรับ” เฉินจื่ออานพูด

“จื่ออานเอ๊ย เจ้าไปไม่ได้นะ!” ผู้ใหญ่บ้านเฉินรีบร้องห้าม “เมื่อวานเจ้าไปที่ทำการอำเภอ เกรงว่าคงจะยังไม่รู้ เมื่อคืนนี้ต้นข้าวก็ดูงอกงามดี แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดี ๆ ก็มีหนอนขึ้น เมื่อก่อนเจ้าเองก็เคยเป็นชาวไร่ชาวนา ควรจะรู้ดีว่าภัยธรรมชาติแบบนี้ มันร้ายแรงต่อชีวิตของชาวนาอย่างพวกเราเหลือเกินแล้ว!”

เฉินจื่ออานได้ยิน ก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาทันที "เดี๋ยวข้าจะไปดูสักหน่อย"

ที่ด้านหลัง ลู่ม่านกับเหอเยว่กำลังช่วยกันยกหีบห่อสัมภาระทั้งหลายออกมา พอเห็นว่าเฉินจื่ออานทำท่าจะตรงไปที่แปลงนา จึงรีบถามว่า "เป็นอะไรไปรึ จื่ออาน?

“จู่ ๆ ข้าวก็มีหนอนขึ้นน่ะ ข้าต้องไปดูสักหน่อย”

ในสมัยโบราณ ข้าวมีหนอนขึ้นถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากจริง ๆ ในเวลานั้นยังไม่มียาฆ่าแมลง ทุกอย่างล้วนต้องใช้แรงคนทั้งหมด เมื่อไหร่ก็ตามที่นาข้าวไหนสักแห่งเกิดปัญหาต้นกล้าในนาข้าวล้มป่วย นั่นหมายความว่า ทั้งอำเภอเฟิงหนานมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้เลยทีเดียว

ลู่ม่านก็รีบร้อนตามไปด้วยอีกคน “จื่ออาน ข้าไปด้วย”

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ลู่ม่านเคยอยู่ในยุคปัจจุบันตั้งอยู่ในหมู่บ้านชนบท ตั้งแต่ยังเด็กนางเคยเห็นต้นกล้าในนาข้าวล้มป่วยมามากมาย บางทีอาจพอมีวิธีแก้ก็เป็นไปได้?

เฉินจื่ออานพยักหน้ารับ ทั้งสองวิ่งตรงไปที่นาข้าว

แปลงนาที่ต้นข้าวล้มป่วยผืนนี้ เป็นนาที่ครั้งก่อนบ้านของลู่ม่านขยายพื้นที่เพื่อทำการปลูกพริกออกไปโดยรอบ แค่กวาดตามองเพียงครั้งเดียว ทั้งลู่ม่านและเฉินจื่ออานก็มีข้อสรุปในใจของตัวเองแล้ว

นี่เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่แมลงในไร่พริกถูกฆ่าไปเมื่อครั้งก่อน ยังมีพวกแมลงที่เล็ดลอดเหลืออยู่ซึ่งยังไม่ตายบางตัวหนีออกมาได้ จากนั้นก็ไปกบดานที่นาข้าวแปลงข้าง ๆ เพื่อรอเวลา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน