ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 366

สรุปบท บทที่ 366 ขโมยธัญพืช: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน

สรุปตอน บทที่ 366 ขโมยธัญพืช – จากเรื่อง ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน โดย ฝูเชิง

ตอน บทที่ 366 ขโมยธัญพืช ของนิยายประวัติศาสตร์เรื่องดัง ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน โดยนักเขียน ฝูเชิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนค่ำ เฉินสือซ่วนช่วยลู่ม่านเตรียมของทำหม้อไฟด้วยกัน

รอจนเฉินจื่ออานกลับมา ทุกคนก็เริ่มกินหม้อไฟ วันนี้เฉินจื่ออานก็มีความสุขมากเช่นกัน “ปีนี้ที่ดินร้อยไร่นั่นมีการเก็บเกี่ยวที่ไม่เลวเลย!”

“ถ้าอย่างนั้นก็กินให้มาก ๆ หน่อย หลายวันมานี้เจ้าผอมลงไปมากเลยนะ!” ลู่ม่านพูดพลางเทเนื้ออีกจานลงไปในหม้อไฟ

"ทุกคนก็กินด้วยเถอะ!" เฉินจื่ออานพูดพลางยิ้มแย้ม “พวกเจ้าล้วนลำบากกันไม่น้อย เรื่องที่ดินร้อยไร่นี้ ข้าคิดว่าพอถึงปีหน้า อย่างไรก็จ้างคนงานระยะยาวมาช่วยดูแลให้น่าจะดีกว่า”

ที่จริงแล้วลู่ม่านไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับการดูแลพื้นที่เพาะปลูก พอได้ยินเฉินจื่ออานพูดแบบนี้ก็พยักหน้ารับรู้ "เก็บเกี่ยวของปีนี้ให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะนะ!"

วันรุ่งขึ้น เฉินสือซ่วนมาตั้งแต่เช้าตรู่ ลู่ม่านทำตามนัดหมายพาเขาไปที่โรงงานเพื่อพูดคุยรายละเอียด พอดีว่าตอนนี้งานด้านการเกษตรกำลังยุ่ง มีคนงานหลายคนขอลาหยุด ในโรงงานนับว่าขาดแคลนคนจริง ๆ ด้วยความที่เฉินสือซ่วนเคยทำงานที่นี่มาก่อน ผู้ดูแลเองก็ชอบเขามาก จึงยอมรับเขาเข้าทำงานทันที

หลังจากฝากฝังเฉินสือซ่วนไว้ที่นั่นแล้ว ลู่ม่านก็กลับไปเริ่มต้มซุปถั่วเขียว

แม้ว่าเฉินจื่ออานจะเคยบอกว่าไม่ต้องมาส่งแล้วก็ได้ แต่พอลู่ม่านเห็นว่าพวกเขาทำงานเหน็ดเหนื่อยกันขนาดนั้น ถ้าไม่ส่งของกินอะไรไปให้เลย ในใจคงจะรู้สึกค้างคาจนไม่เป็นสุขแน่

หลังจากทำเสร็จแล้ว ก็เป็นยามอู่พอดี (เวลาประมาณเที่ยง) ลู่ม่านจึงพายายอิงเดินตรงไปทางทุ่งนา

หลายคนในหมู่บ้านไป่ฮัวต่างก็กำลังเกี่ยวข้าว พอเห็นลู่ม่านก็หวนนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นที่เฉินจื่ออานนำพวกเขามาร่วมกันฉีดพ่นน้ำปูนขาวให้กล้าข้าวในนา ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณพลันเอ่อล้นออกมาจากใจของทุกคนแบบที่ไม่ต้องพูดก็เข้าใจกันได้

ไม่ว่าลู่ม่านเดินไปถึงที่ไหน ก็จะมีคนเข้ามาทักทายด้วยความจริงใจตลอด ความรู้สึกแบบนี้ มันดียิ่งกว่าได้เป็นอันเหรินเสียอีก!

โดยเฉพาะบางคนที่เดิมทีไม่ยอมฟังคำพูดของเฉินจื่ออาน เวลาต่อมาเฉินจื่ออานยังมาหาพวกเขาตามลำพัง ขอให้พวกเขาลองเปรียบเทียบสถานการณ์ของตัวเองกับของคนอื่นดู พวกเขาถึงได้รับการรักษากล้าข้าวได้ทันเวลา จนสุดท้ายก็ไม่ได้รับความเสียหายในการเก็บเกี่ยว

เมื่อเห็นลู่ม่าน พวกเขาก็เริ่มเอาข้าวของมายัดเยียดให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพืชผลทางการเกษตรที่พวกเขาเพาะปลูกเอง ลู่ม่านไม่รู้จะปฏิเสธยังไง จึงรับมาแล้วเอาไปให้พวกเฉินจื่ออานต่อ

เดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทั้งสองคนก็เห็นเงาร่างของพวกเฉินจื่ออาน ถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลานี้พวกเขาต้องกำลังทำงานกันยุ่ง ๆ อยู่ แต่วันนี้คนกลุ่มใหญ่กลับมายืนล้อมเป็นวงอยู่บนคันนา ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่

ลู่ม่านตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“จื่ออาน เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ?” ลู่ม่านถาม

คิ้วของเฉินจื่ออานขมวดแน่นเป็นปม พอหันหน้ากลับมาเห็นว่าเป็นลู่ม่าน จึงพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “มีคนขโมยธัญพืช !”

“หา?” ลู่ม่านตกใจจนผงะ “นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนเก็บเกี่ยวเสร็จหมดแล้วหรือ? ทำไมยังมีคนขโมยธัญพืชได้อีกล่ะ?”

ยึดตามคำพูดของเฉินจื่ออาน สายตาของลู่ม่านกวาดมองไปที่ชายคนหนึ่งที่ถูกคนงานชั่วคราวยืนล้อมไว้อยู่ตรงกลางวง บนร่างของคนคนนั้นสวมชุดรัดรูปเพียงตัวเดียว ไม่รู้ว่าผ่านการซักมากี่ครั้งแล้ว มันขาวซีดจนแทบจะมองทะลุได้อยู่แล้ว

ยึดตามคำพูดของเฉินจื่ออาน สายตาของลู่ม่านกวาดมองไปที่ชายคนหนึ่งที่ถูกคนงานชั่วคราวยืนล้อมไว้อยู่ตรงกลางวง บนร่างของคนคนนั้นสวมชุดต่วนต่า ( แบบเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่คนยากจนในสมัยโบราณมักสวมใส่) เพียงตัวเดียว ไม่รู้ว่าผ่านการซักมากี่ครั้งแล้ว เสื้อชุดนั้นขาวซีดจนแทบจะมองทะลุได้อยู่แล้ว

แขนที่โผล่พ้นเสื้อออกมา ผอมแห้งจนไม่มีเนื้อให้เห็น ทั้งยังดำคล้ำจากการถูกแดดแผดเผามานานหลายปี

“ข้าไม่ได้ขโมยธัญพืชนะ!” ชายคนนั้นร้องตะโกนด้วยเสียงอ่อนระโหย ที่ข้างตัวเขามีเด็กผู้ชายที่ดูแล้วอายุน่าจะราว ๆ สิบกว่าขวบอยู่อีกคนหนึ่ง

ดูแล้วออกจะคุ้นตาอยู่บ้าง? ลู่ม่านลองมองดูอีกครั้ง ที่แท้ก็คือชายชราคนที่นางได้พบที่ริมถนนเมื่อวานนี้นี่เอง “ท่านผู้เฒ่า ทำไมเป็นท่านล่ะ?”

ชายชราได้ยินลู่ม่านพูด ก็มีท่าทางราวกับว่าได้พบผู้ช่วยชีวิตก็ไม่ปาน “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง แม่หนู ข้าไม่ได้ขโมยธัญพืชนะ เจ้าพูดกับพวกเขาหน่อยเถอะ”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ลู่ม่านหันไปมองกลุ่มคนงานชั่วคราว

หนึ่งในนั้นได้ยินนางถาม ก็ลุกขึ้นมาพูดว่า “ฮูหยิน คือว่าอย่างนี้ขอรับ เดิมทีพวกเราต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการเร่งเก็บเกี่ยว ตาแก่คนนี้ก็แอบย่องเข้ามาจากด้านข้าง ทั้งยังแบกข้าวเปลือกมัดหนึ่งใส่หลังมาด้วย!”

“หมู่บ้านหลิ่วซู่ของพวกเรานั้นยากจนมาก ชาวบ้านเกือบครึ่งไม่มีที่ดินทำกินของตัวเอง พวกเราล้วนต้องพึ่งพาการเช่าที่ดินจากเจ้าสัวเพื่อเลี้ยงชีพ ตอนแรกที่มีการพ่นน้ำปูนขาว เจ้าของที่ดินคนนั้นไม่ยอมให้พวกเราพ่น บอกแค่ว่าถ้าพ่นน้ำปูนขาวแล้ว มันจะส่งผลร้ายต่อดินในพื้นที่ของเขา....”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ช่างสมกับคำพูดที่ว่า ไม่มีที่ไหนที่จะไม่มีคนต่ำช้าใจคอคับแคบจริงๆ!

“แล้วปีนี้พวกเจ้าก็ยังต้องเช่าที่ดินของบ้านเขาอยู่อีกหรือ?” ลู่ม่านถาม

“ถ้าไม่ทำอย่างนั้น พวกเราจะมีหนทางไหนอีกล่ะ!” ใบหน้าอันขมขื่นของชายชราเต็มไปด้วยริ้วรอยตามกาลเวลา “ถ้าเราไม่เช่าที่ดินตรงนั้น พวกเราก็จะอดตายกันหมด”

“แต่ถึงเช่าไป พวกเจ้าก็ยังอดอยากหิวโหยอยู่ดีไม่ใช่รึ?” ลู่ม่านถาม

คำพูดนี้เหมือนจะไปแทงใจดำชายชราเข้าพอดี ชายชรายกมือขึ้นปิดตาแล้วร้องไห้ เด็กชายคนที่อยู่ข้าง ๆ เขารีบยื่นมือออกไปช่วยเช็ดน้ำตาให้ชายชราทันที

“ปู่ไม่ร้องนะ.....”

“เอ้อ! ไม่ร้อง ๆ ” ชายชราเช็ดน้ำตาจนแห้ง หันไปยิ้มให้ลู่ม่านอย่างกระอักกระอ่วน “ข้ามาสร้างปัญหาให้พวกท่านแล้ว วันนี้เด็กคนนี้ทำเรื่องผิด ข้าจะให้เขามาช่วยงานในนาพวกท่านหนึ่งวัน รอค่ำ ๆ หน่อยข้าค่อยมารับเขากลับ!”

พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น

ลู่ม่านรีบหยุดเขาไว้ “แล้วท่านล่ะ?”

“ข้าจะไปเดินวนดูรอบ ๆ นี้ ว่าพอจะหาเก็บอะไรได้บ้างหรือไม่”

อันที่จริงในใจของทุกคนต่างก็รู้ดี ว่าเขาไม่มีทางเก็บอะไรได้ทั้งนั้น ชาวนาที่อยู่กันตอนนี้ไม่ใช่ชาวนารุ่นหลัง เพราะชาวนารุ่นหลังโดยพื้นฐานแล้ว ล้วนอาศัยเครื่องจักรในการปลูกพืชผักของตน ถ้ามีเศษตรงไหนที่มันหล่น ๆ ร่วง ๆ พวกเขาก็คร้านจะไปไล่เก็บให้เสียเวลา

แต่ชาวนาตอนนี้ พืชผลคือชีวิตของพวกเขา ถ้ามีแม้แต่เศษเมล็ดข้าวสักเมล็ดตกพื้น พวกเขาก็จะต้องเก็บมันขึ้นมาแน่ ๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน