ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 367

“ท่านผู้เฒ่า ไม่สู้ท่านก็มาช่วยพวกเราทำด้วยกันเลยดีหรือไม่ พวกเราทางนี้ยังขาดแคลนแรงงานระยะสั้นอยู่ เลี้ยงข้าวสามมื้อ ค่าจ้างให้วันละยี่สิบเหวิน!”

ลู่ม่านชักชวน

ดวงตาของชายชราเป็นประกาย ลองพินิจมองการแต่งกายของลู่ม่านอีกครั้ง ก็คิดว่านี่คงจะเป็นเจ้าบ้านแน่แล้ว จึงรีบคว้าตัวเด็กชายมาคุกเข่าลงพร้อมกัน "เร็วเข้า รีบคุกเข่าคำนับฮู่หยินท่านนี้เร็ว!"

ลู่หม่านรีบยื่นมือออกไปกันไว้ เรียกให้ทั้งสองคนลุกขึ้นมา

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเจ้ามาช่วยข้าทำงาน สำหรับข้าก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ!” พูดจบก็หันไปเรียกยายอิงให้นำอาหารกลางวันกับซุปที่ทำไว้มาให้

“พวกเจ้ามากินข้าวกันก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยทำ!”

เนื่องจากต้องทำงานที่ใช้แรง อาหารที่ลู่ม่านเตรียมมาจึงค่อนข้างเป็นของหนักท้อง เป็นพวกข้าวขาว หมูตุ๋นน้ำแดง ไข่คน กับพวกผักสดที่เป็นเครื่องเคียงจำนวนหนึ่ง ทั้งเนื้อและผักวางเคียงคู่ ดูสวยงามน่ากิน

ส่วนน้ำซุปเป็นซุปถั่วเขียวที่แช่น้ำแข็งมาเย็น ๆ หลังกินอาหารคาวเสร็จได้ดื่มเข้าไปสักคำ เรียกได้ว่าอร่อยจนแทบจะบรรลุเป็นเซียนได้เลยจริงๆ

ตอนที่เด็กคนนั้นได้รับอาหารถึงมือ ก็อดใจต่อไปไม่ไหวแล้ว รีบจ้วงเข้าปากอย่างตะกละตะกลาม ตอนแรกชายชราคนนั้นยังเตือนให้หลานชายกินทีละคำเล็ก ๆ อย่างช้า ๆ แต่หลังจากที่กินเข้าไปได้สองสามคำ เขาเองก็อดใจไม่ไหวเช่นกัน

สองคนปู่หลานกินข้าวหมดไปสองชามใหญ่ก่อนจะหยุดลงในที่สุด ลู่ม่านจึงให้ยายอิงไปตักซุปมาเพิ่มให้พวกเขาอีกชาม หลังจากทั้งสองดื่มอย่างเอร็ดอร่อยจนหมด ก็เตรียมลงนาเพื่อเริ่มทำงาน

ลู่ม่านรีบหยุดพวกเขาไว้ “พวกเจ้าเพิ่งจะกินเข้าไปเยอะขนาดนั้น ทางที่ดีไม่ควรออกกำลังกายหนัก ๆ ในทันที พักสักครู่ก่อนเถอะ!”

เฉินจื่ออานก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วหันไปมองดูกลุ่มแรงงานระยะสั้นที่พักผ่อนอยู่ข้าง ๆ ชายชราคนนั้นประหลาดใจมาก “ฮูหยินช่างมีจิตเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์จริง ๆ เจ้าของที่ดินในหมู่บ้านของพวกเรา แต่ละวัน ๆ รู้แต่ว่าจะหาทางเอาเปรียบพวกแรงงานอย่างไร ไม่มีทางยอมปล่อยให้พวกเรามีเวลาว่างได้เด็ดขาด!”

ลู่ม่านยิ้ม “ถ้าวันหลังข้ามีโอกาสได้เจอเจ้าของที่ดินของพวกเจ้าคนนั้น ข้าคงต้องขอดูหน่อยแล้วล่ะว่าเขาเป็นคนยังไง!”

หลังจากคุยกันไปได้อีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็ลงไปที่แปลงนา สองคนปู่หลานทำงานกันหนักมาก ลู่ม่านเห็นว่าพวกเขาก็น่าสงสารมากจริง ๆ จึงหันไปกระซิบกับยายอิงว่า

“ดูจากท่าทางแล้ว ที่บ้านพวกเขาน่าจะยังมีคนอื่นอีก มื้อค่ำเจ้าให้ของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยก็ให้พวกเขาพอจะเอากลับไปด้วยได้บ้าง”

ยายอิงพยักหน้ารับ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “ฮูหยินช่างใจดียิ่งนัก”

อันที่จริง ลู่ม่านก็ไม่ใช่คนใจดีอะไรขนาดนั้นหรอก ก็แค่ทนเห็นว่ามีคนที่น่าสงสารขนาดนี้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเป็นชาวนาซื่อ ๆ ไร้พิษภัย ทำไมถึงไม่มีโอกาสได้รับการปฏิบัติดี ๆ ด้วยบ้างเลยนะ?

ตกค่ำ ขณะที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ลู่ม่านก็เอาแต่เหม่อลอย

เฉินจื่ออานถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือ กำลังตั้งใจอ่านอย่างขมีขมัน พอดีอ่านเจอบทความหนึ่งที่เขียนบรรยายถึงความยากลำบากของเกษตรกรชาวนาชาวไร่ ก็เผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน คนที่ลำบากที่สุดก็คือชาวนา และคนที่จนที่สุดก็ยังเป็นชาวนา!”

“นั่นสิ!” ลู่ม่านทอดถอนใจอย่างสลดหดหู่ “ปู่กับหลานคู่นั้นน่าสงสารมากจริง ๆ นะ ไม่รู้ว่ารอจนงานระยะสั้นของเราหมดลงแล้ว ในอนาคตพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป?”

เฉินจื่ออานก็ถูกลู่ม่านแพร่เชื้อใส่ไปด้วยอีกคน หลังจากที่ทั้งสองมองหน้าประสานสายตากันไปได้ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า "หรือไม่ก็……"

“เจ้าพูดก่อนเถอะ!” ลู่ม่านพูด

เฉินจื่ออานครุ่นคิดไปครึ่งวินาที ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งว่า “เดิมที ที่นาดินสมบูรณ์ร้อยไร่ของพวกเราตรงนั้น เคยวางแผนไว้ว่าจะหาคนงานระยะสั้นมาช่วยดูแลให้ ตอนนี้ข้าลองคิดไปคิดมา ว่าตามจริงบ้านเราก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเท่าไหร่ เก็บเกี่ยวธัญพืชกลับมาได้มากมายขนาดนั้น พวกเราไม่กี่คนก็คงกินไม่หมดแน่ ไม่สู้เรามาแบ่งที่นาดินสมบูรณ์ร้อยไร่นั่นออกเป็นส่วน ๆ ปล่อยเช่าไปให้ชาวหมู่บ้านหลิ่วซู่กลุ่มนั้นที่ไม่มีที่นาทำกินไม่ดีกว่าหรือ?”

คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินจื่ออานจะมีความคิดแบบเดียวกับตัวเอง ลู่ม่านถึงกับผุดลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที แล้วพุ่งถลาเข้าไปหอมแก้มเฉินจื่ออานฟอดใหญ่

“จื่ออาน ข้ารักเจ้าแทบตายแล้ว!”

อารามดีใจจนไม่ทันระวัง เผลอออกแรงมากเกินไป ลู่ม่านเกือบจะเด้งหลุดออกไปจากเตียงอยู่แล้ว เฉินจื่ออานรีบคว้าตัวนางไว้ทันที

"ระวัง!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน