ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 368

สรุปบท บทที่ 368 ความภูมิใจในตัวเองของตาแก่เฉิน: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน

สรุปตอน บทที่ 368 ความภูมิใจในตัวเองของตาแก่เฉิน – จากเรื่อง ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน โดย ฝูเชิง

ตอน บทที่ 368 ความภูมิใจในตัวเองของตาแก่เฉิน ของนิยายประวัติศาสตร์เรื่องดัง ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน โดยนักเขียน ฝูเชิง เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ชายชราพูดด้วยความจริงใจ แต่พอได้ฟังแล้วในใจของลู่ม่านกลับรู้สึกโศกเศร้ารนทดอย่างไร้ก้นบึ้ง

เพราะกลัวว่าตัวเองจะคุ้นเคย พอหลังจากนี้ไปจะไม่อาจยอมรับการถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างสงบเสงี่ยมได้เหมือนกับที่ผ่านมาอีก ก็เลยยอมที่จะไม่รับมันเสียแต่แรกดีกว่าหรือ?

“ไม่หรอก จากนี้ไปพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเช่าที่ดินจากเจ้าของที่คนนั้นอีกต่อไปแล้วล่ะ!” ลู่ม่านสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“อะไรนะ?” มือที่สั่นเทาของชายชราหยุดชะงักค้างอยู่กลางอากาศ “ฮูหยิน ท่านพูดว่าอะไรนะ?”

เฉินจื่ออานที่อยู่ข้างหลังเห็นดังนั้น ก็เดินออกมาช้า ๆ แล้วพูดว่า “วันนั้นเจ้าบอกว่า คนในหมู่บ้านของเจ้าเกินครึ่งล้วนไม่มีที่ดินทำกินไม่ใช่รึ?”

“ใช่!” ชายชราพยักหน้า “ที่ในหมู่บ้านของพวกเราล้วนเป็นที่ดินบนภูเขา ไม่เพียงแค่นั้น เรายังมีผู้คนจากข้างนอกมากมายที่ลี้ภัยจากถิ่นทุรกันดารเข้ามา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง”

"มีกี่ครอบครัว?"

ชายชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่างน้อย ๆ ก็คงมีราวสามสิบหรือไม่ก็สี่สิบครัวเรือนกระมัง?”

เป็นเหมือนกับที่ลู่ม่านและเฉินจื่ออานคิดไว้เลย ถ้าพวกเขาปล่อยเช่าที่นาร้อยไร่นั่นออกไป ก็จะสามารถช่วยคนจำนวนมากได้จริง ๆ

หลังจากที่ชายชราพูดจบ ใบหน้าอันขมขื่นของเขาก็ปรากฏความโศกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง “ปีนี้ ทุกคนเก็บเกี่ยวพืชสวนไร่นาไม่ได้เลย มีหลายคนถึงกับบอกว่าจะออกไปขอทานข้างนอกแล้ว ติดอยู่ที่ว่ายุคนี้มันยากลำบาก ทั่วแคว้นต่างก็ประสบภัยพิบัติ พวกเราจะออกไปขอทานที่ไหนได้อีก?”

“ท่านผู้เฒ่า ทำไมไม่ไปขอเช่าที่ดินของคนอื่นล่ะ?”

ชายชราส่ายหน้า “ในหมู่บ้านหลิ่วซู่มีเจ้าของที่ดินคนนั้นเพียงคนเดียว เขาเป็นเจ้าถิ่น บ้านเขาไม่ให้คนอื่นปล่อยเช่า ใครก็ไม่กล้าให้พวกเราเช่าหรอก”

"ข้านี่แหล่ะกล้า!" เฉินจื่ออานพูด

ดวงตาของชายชราคนนั้นเป็นประกาย “นายท่าน นี่ท่านจะบอกว่า ท่านคิดจะปล่อยที่ดินให้พวกเราเช่าอย่างนั้นรึ?”

“ใช่!” เฉินจื่ออานพยักหน้า “ก็คือที่นาร้อยไร่ที่พวกเจ้ามาช่วยเก็บเกี่ยวในสองวันนี้นี่แหล่ะ เดิมทีเป็นทุ่งนาดินอุดมสมบูรณ์ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาให้ ตอนนี้ให้พวกเจ้าปลูกพืชผัก ก็ถือได้ว่าเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาททรงมีต่อพสกนิกร”

ชายชราตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สายตาที่มองดูลู่ม่านจู่ ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปทันที หลังผ่านไปอึดใจสั้น ๆ จู่ ๆ เขาก็ดึงตัวหลานชายที่อยู่ข้าง ๆ ให้มาคุกเข่าลง

“คารวะอันเหริน!”

ลู่ม่านถูกการคุกเข่าคารวะให้อย่างกะทันหันนี้ ทำเอาตกใจจนมึนงงไปหมด ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ ๆ ถึงฟื้นคืนสติกลับมาได้ "อย่าทำอย่างนี้เลย"

“คิดว่าท่านผู้นี้ก็คือเฉินซือหนงกระมัง?” ชายชราหันไปมองเฉินจื่ออานอีกครั้ง “หลายคนในหมู่บ้านของเราที่มีที่ดินทำกินของตัวเองต่างบอกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซือหนงมาบอกให้พวกเขาฉีดพ่นน้ำปูนขาวได้ทันเวลา นาข้าวของพวกเขาก็คงจะไม่เหลือแล้ว!”

“ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นซือหนงแล้วล่ะ!” เฉินจื่ออานพูดด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ถ้าว่ากันตามจริง คนที่ฉีดพ่นน้ำปูนขาวในหมู่บ้านของเจ้า ก็ล้วนเป็นซือหนงที่ดูแลในพื้นที่ของเจ้า ไม่ใช่ความดีความชอบอะไรของข้าหรอก”

แม้ว่าเฉินจื่ออานจะพูดอย่างนี้ แต่ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าน้ำปูนขาวกำจัดแมลงนั้น เป็นผลงานคิดค้นที่ออกมาจากบ้านเฉิน

เรื่องที่ว่าเฉินจื่ออานไม่ได้เป็นซือหนงแล้วทำให้ชายชราคนนั้นไม่พอใจอย่างมาก "คนที่คิดทุกอย่างเพื่อประชาชนเช่นเจ้า ถึงกับไม่ได้เป็นขุนนางแล้ว โลกนี้มันช่าง....."

“ผู้เฒ่า นั่นเป็นเรื่องของข้าเอง ก็ไม่พูดถึงแล้วดีกว่านะ กลับกันเรื่องของเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการเช่าที่ดินสักเท่าไหร่ดีล่ะ?”

ชายชราพบว่าเฉินจื่ออานไม่ได้กำลังล้อเล่น จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้าต้องการเช่าเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้นเลยรึ?”

เฉินจื่ออานส่ายหน้า "นั่นต้องดูจำนวนคนในครอบครัวเจ้าก่อน ถ้ามีคนน้อย ก็ให้เช่าน้อยหน่อย เพราะคนในหมู่บ้านทางนั้นก็ยังมีอยู่อีกเยอะนะ!"

ชายชราจึงตระหนักได้ว่าตัวเองออกจะโลภเกินไปหน่อยแล้ว แต่ความโลภแบบนี้ก็เป็นอะไรที่พอจะเข้าใจได้ ชาวนาเฒ่าที่ต้องอาศัยทุ่งนาเพื่อหาเลี้ยงชีพ หลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีอาหารที่กินได้แบบอิ่มท้อง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เห็นที่นาซึ่งดินอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ เขาย่อมอดใจไม่ไหวเป็นธรรมดา

“ที่บ้านยังมีเมียอีกคนหนึ่ง ลูกชายหนึ่งกับลูกสะใภ้” ชายชราพูด "ข้าอยากเช้าสักหกไร่ได้หรือไม่?"

ที่จริงแล้วเดิมทีเขาอยากได้มากกว่านั้น แต่เฉินจื่ออานพูดถูก ยังมีคนอื่นที่เขาก็อยากได้เหมือนกัน!

ผู้ใหญ่บ้านเฉินรับมาไว้ในมือก่อนจะอ่านดูรอบหนึ่ง ก็ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้าง แม้ว่าจะพูดได้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว หมู่บ้านไป่ฮัวของพวกเขาไม่มีครอบครัวที่อพยพมาจากที่อื่น แต่ละครอบครัวต่างมีที่นาของตัวเอง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่เฉินจื่ออานต้องเอาที่นาดี ๆ ขนาดนั้นไปปล่อยเช่าให้กับชาวหมู่บ้านหลิ่วซู่ก็ได้กระมัง?

หรือว่าจะถูกคนข่มขู่เข้าแล้ว?

เมื่อตาเกาได้ยินดังนั้น จึงรีบบอกให้ยายอิงไปเรียกพวกเฉินจื่ออานทันที เพียงไม่นานทั้งสองคนก็รีบออกมา

เมื่อตาแก่เฉินเห็นเฉินจื่ออาน ก็รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วจับมือเฉินจื่ออานไว้แน่น “จื่ออานเอ๊ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เฉินจื่ออานยิ้ม “พ่อ ไม่มีอะไรหรอก”

เดิมทีคนกลุ่มนั้นเห็นตาแก่เฉินก็ยังไม่ได้มีสีหน้าดี ๆ อะไรมอบให้เขา แต่ตอนนี้ พอพวกเขารู้ว่านั่นคือพ่อของเฉินจื่ออาน พวกเขาต่างก็ก้มหัวค้อมกายคำนับให้แล้วพูดว่า “ท่านช่างวาสนาดีจริง ๆ ที่เลี้ยงลูกชายออกมาเป็นคนดีได้ขนาดนี้”

ตาแก่เฉินโบกไม้โบกมือ เฉินจื่ออานจึงเชื้อเชิญคนกลุ่มนั้นเข้าไปข้างใน

ในสวนมีการจัดโต๊ะไว้บนแท่นแบบยกพื้นตัวหนึ่ง เป็นโต๊ะที่ใช้สำหรับลงนามทำสัญญาโดยเฉพาะ เริ่มจากให้ทุกคนเงียบก่อน จากนั้นเฉินจื่ออานค่อยอธิบายให้ผู้ใหญ่บ้านเฉินฟังหนึ่งรอบ

หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านเฉินได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกเห็นใจคนกลุ่มนี้ขึ้นมาก

ตาแก่เฉินยิ่งรู้สึกซาบซึ้งอย่างลึกล้ำ หวนนึกถึงตอนที่พวกเขายากลำบากที่สุด ก็เคยต้องเช่าที่ดินจากบ้านเจ้าของที่เหมือนกัน ตอนนั้นถูกเรียกเก็บค่าเช่าถึงสี่ส่วน แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ใครใช้ให้เจ้าอยากมีชีวิตรอดต่อไปล่ะ?

มีบางครั้ง ที่การเก็บเกี่ยวในหนึ่งปียังไม่พอยาไส้ด้วยซ้ำ ทำได้แค่เวลาต่อมา ต้องเอาพืชผลส่วนที่ดีที่สุดจ่ายเป็นค่าเช่าแทน

ตอนนี้เฉินจื่ออานกลับทำเรื่องที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น เขารู้สึกดีใจมากจริง ๆ

"จื่ออานเอ๊ย เจ้าทำได้ถูกต้องแล้ว พ่อดีใจมากจริง ๆ"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน