ตอน บทที่ 370 คนชั่วร้ายมาเยือนถึงที่ จาก ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 370 คนชั่วร้ายมาเยือนถึงที่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน ที่เขียนโดย ฝูเชิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลังจากนั้น ลู่ม่านก็ไปที่ภัตตาคารเฟิ่งหลาย
ร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับภัตตาคารเฟิ่งหลายร้านนั้น ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวนานมากแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่กระเสือกกระสนฝืนยื้อต่อไปแบบหายใจร่อแร่เต็มที ในทางกลับกันสถานการณ์ของภัตตาคารเฟิ่งหลายกลับยิ่งดีวันดีคืน
เมื่อเห็นลู่ม่าน ผู้ดูแลร้านช่ายก็กระตือรือร้นเหมือนอย่างที่เคย
เขาทำท่าจะเข้ามาคำนับ แต่ถูกลู่ม่านหยุดไว้ “สถานะของข้า ถ้าอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เจ้าก็อย่ายกยอปอปั้นข้าเหมือนกับคนอื่น ๆ นักเลย!”
ผู้ดูแลร้านช่ายอย่างไรก็เป็นคนที่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ลู่ม่านพูดมาขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่มัวทำเป็นถ่อมเนื้อถ่อมตัวโดยใช่เหตุอีก
“ตั้งแต่ที่เจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นอันเหริน ข้าก็ไม่ได้เจอเจ้าตั้งนานเลย!”
“ช่วงนี้ที่บ้านข้ามีแต่เรื่องยุ่ง ๆ ไม่ว่างเว้นเลยน่ะ ปวดหัวจะแย่! ดังนั้นเลยไม่ได้ออกมาข้างนอก!”
ผู้ดูแลร้านช่ายก็เกิดความรู้สึกร่วมไม่น้อย “ครอบครัวน่ะ ถ้ามันขยายใหญ่ขึ้นมาก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหล่ะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของทุกคน พอเอามาวางไว้รวมกันมันก็กลายเป็นหลายเรื่องแล้ว”
“ก็นั่นน่ะสิ!” ลู่ม่านเห็นด้วย
หลังจากพูดจบ ลู่ม่านก็บอกความต้องการที่ตัวเองมาในครั้งนี้ “ปีนี้เจ้าก็จะส่งของขวัญปีใหม่ไปเมืองหลวงสินะ?”
“ไปสิ ปีนี้คุณชายจวงอนุญาตให้ข้ากลับบ้านไปฉลองปีใหม่ได้ ดังนั้นข้าเลยไม่รีบร้อนไปส่ง ตั้งใจว่าจะรอประมาณสิ้นเดือนนี้ค่อยเอากลับไป”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย!” ลู่ม่านชี้ไปที่กองข้าวของของตัวเอง “ปีนี้ข้าคงไม่ไปเมืองหลวงแล้ว ยังมีของขวัญปีใหม่สามชุดนี้ ที่ต้องขอรบกวนผู้ดูแลร้านช่ายช่วยเอากลับไปแทนข้าที! นอกจากนี้ยังมีเงินประจำปีกับของบางอย่างที่จะส่งไปที่บ้านข้าในเมืองหลวงหลังนั้นด้วย อยากไหว้วานเจ้าช่วยเอาไปส่งให้พร้อมกันเลย"
"มีอะไรยากล่ะ?" ผู้ดูแลร้านช่ายพูดพลางยิ้มแย้ม “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
ลู่ม่านอยู่คุยต่ออีกครู่หนึ่ง หลังพูดขอบคุณเสร็จก็ออกไป
จ้าวหลินตอนนี้ก็ไปที่อำเภอเฟิงหนานแล้ว เขากับแคสเปิดร้านขายผลไม้ด้วยกันที่นั่นร้านหนึ่ง เช่นเดียวกับกระแสความนิยมของผลไม้กวน ผลไม้ของพวกเขาก็ขายดีมากไม่แพ้กัน ลู่ม่านคิดว่าส่วนของเขา น่าจะต้องรอให้พ้นปีใหม่ไปก่อน เมื่อไหร่ที่มีเวลาค่อยเอาไปให้แล้วกัน
หลังออกมาจากภัตตาคารเฟิ่งหลาย ลู่ม่านก็ไปที่ร้านทำผ้าอีกครั้ง เสื้อผ้าใหม่สำหรับใส่ฉลองปีใหม่ก็ควรเตรียมเอาไว้ด้วย มีชุดของนางกับจื่ออาน ของอาจารย์โจว ยังมีของเหอเย่ว รวมถึงของตาเกาแล้วก็ของยายอิงด้วย
นอกจากนี้ยังมีของตาแก่เฉินที่บ้านเก่าทางนั้น แล้วก็ของเฉินหลี่ซื่อ ถึงแม้ว่าเฉินหลี่ซื่อจะทำให้นางพูดไม่ออกก็จริง แต่ถ้านางอยู่บ้านด้วยอย่างไรส่วนนี้ก็ขาดไปไม่ได้อยู่ดี
ลู่ม่านซื้อของมาได้ไม่น้อย ก่อนจะรีบกลับบ้านไปพร้อมกับเหอเย่ว
ลู่ม่านอยู่ห่างจากเหอเย่วไม่ได้แล้วจริง ๆ ช่วงระหว่างที่นางไม่อยู่ ลู่ม่านจะไปไหนมาไหนก็ต้องไปคนเดียวลำพังตลอด นั่งอยู่ในรถก็ไม่มีคนคุยด้วย เป็นอะไรที่น่าสงสารมากจริง ๆ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ระหว่างที่เดินไป ก็ยังคุยเรื่องสัพเพเหระกับเหอเย่วได้ด้วย ความคิดเห็นของทั้งสองคนก็คล้ายกันมาก ช่างเป็นอะไรที่มีความสุขจริง ๆ
ระหว่างที่คุยกันอยู่ เหอเย่วก็ส่งเสียงร้องอุทานขึ้นมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะรีบบังคับรถให้หยุดลง
ม้าตัวนั้นเป็นเพราะถูกบังคับให้หยุดเร็วเกินไปกีบเท้าจึงได้รับบาดเจ็บ มันส่งเสียงร้องฮี้ดังลั่น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ลู่ม่านรีบดึงม่านหน้ารถม้าขึ้นแล้วยื่นหน้าออกมาดู กวาดตามองแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าที่ด้านนอกมีกลุ่มคนหน้าตาดุร้ายหลายคน กำลังจ้องเขม็งมาที่รถม้าจากฝั่งตรงข้าม พลางสับขาวิ่งตะบึงตรงมาที่รถของลู่ม่านด้วยสีหน้าดุร้ายน่าสะพรึงกลัว
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ลู่ม่านตวาด
“ลู่อันเหรินย่อมไม่รู้จักคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอย่างพวกเราเป็นธรรมดา แต่ว่าพวกเรากลับรู้จักลู่อันเหรินดีเลยเชียวล่ะ!” ที่ด้านหลังของกลุ่มคนหน้าตาดุร้ายกลุ่มนี้ ในรถม้าที่ใหญ่โตหรูหราคันหนึ่ง มีชายร่างอ้วนฉุที่ดูแล้วอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ คนหนึ่งโผล่ออกมา
บนใบหน้าขาวอ้วนกลม มีดวงตาคู่เล็ก ๆ ที่เผยให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาด ทั้งยังมีหนวดทรงเลขแปดจีนเหนือปากอีกคู่หนึ่ง ซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูแล้วปลิ้นปล้อนสับปลับอย่างยิ่ง
ที่นี่อยู่ไกลพระเนตรพระกรรณฝ่าบาท การใช้หนึ่งตำลึงทองมาล่อใจ ย่อมส่งผลได้มากกว่าความกริ่งเกรงในบารมีของฝ่าบาทอยู่แล้ว
ดังนั้นคนที่เดิมทียังมีอาการลังเล ก็รีบพุ่งเข้ามาทันที ตรงเข้ารุมล้อมลู่ม่านอีกครั้ง
เหอเย่วสะบัดแส้ในมือออกไปโดยตรง สกัดพวกคนที่รุมเข้ามา ลู่ม่านหวนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน ก็กลัวว่าเหอเย่วจะได้รับบาดเจ็บ จึงดึงนางเข้ามาในรถ
“เจ้าระวังหน่อย ถ้าเจ้าได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ข้าจะอธิบายกับเฉินจูชิงอย่างไรล่ะ?”
“พี่เสี่ยวม่าน นี่มันเวลาอะไรแล้ว พี่ยังจะพูดเล่นอยู่อีก?”
ลู่ม่านไม่เห็นคนกลุ่มนั้นอยู่ในสายตาเลยสักนิด นางหัวเราะพลางพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก พวกนี้ยังรับมือง่ายกว่าโจรพวกนั้นเยอะ คอยดูข้านะ!”
ลู่ม่านพูดจบ ก็กระโดดลงจากรถไปตรง ๆ เหวี่ยงแส้ในมือออกไปกวาดคนรอบ ๆ ร่วงพื้นระนาว!
เมื่อก่อนลู่ม่านเคยเต้นบัลเลต์แบบที่มีการใช้ริบบิ้นประยุกต์ การเต้นแบบใช้ริบบิ้นต้องใช้พละกำลังอย่างมาก เจ้าสิ่งที่ทั้งเบาทั้งพลิ้วแบบนั้น เวลาโยนออกไปต้องใช้พละกำลังเยอะมาก ประสิทธิภาพของแส้ที่ถูกสะบัดออกไป เรียกได้ว่าต้องใช้การร่วมมือกันอย่างลงตัว ถึงจะทำให้จุดเด่นของมันฉายชัดได้มากยิ่งขึ้น
กลุ่มคนเหล่านั้นยกมือขึ้นกุมใบหน้าด้วยความเจ็บปวด พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนานสองนาน
ลู่ม่านเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของที่ดินหลิ่ว “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า จะจับข้ากลับไปสินะ?”
เจ้าของที่ดินหลิ่วจ้องมองลู่ม่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้า...ข้าไม่ได้พูด”
“แต่พวกเราหลายคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็ได้ยินกันหมดเลยนะ! ถ้าหากว่าข้ายอมปล่อยเจ้ากลับไปง่าย ๆ ทั้งอย่างนี้ แล้วอันเหรินเช่นข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน
เป็นพอ.ที่กลับกรอก เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ยอกจะออกจากครอบครัวเลวๆนี่ไม่จริงอีก ภาระของนางเอก ถ่วงแข้งถ่วงขาจริงๆ...
เด็กไม่ตายเพราะแม่คลอดยากจะตายเพราะคนรับใช้ป้อนโจ๊กข้าวจนอิ่มตื้อ รอดได้คือดวงแข็งเว่อ...
อ่านไป งงไป ตัดสินประหาร หรืออภัยโทษ?...
หม่อมข้า? ใช้ MS Word ไม่ระวังเลย...
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอน 337 แล้ว โดยภาพรวมพระเอกไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่เฉียบแหลมเลย...
อะไรจะมีปมขนาดนั้น วุ่นวายตอกย้ำเหลือเกินเกี่ยวกับระบบศักดินา ทั้งที่มันเป็นคนละยุคสมัยกัน...
ตอน285-287 หายทำไงดี...
ตอนหายค่ะ 284แล้วกระโดดไป288เลยค่ะ...
บท 285-287 หายค่ะ 284แล้ว288เลย รบกวนด้วยค่ะ...
281-311 รบกวนด้วยค่ะ...