ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 401

สรุปบท บทที่ 401 ด่าประณาม: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน

อ่านสรุป บทที่ 401 ด่าประณาม จาก ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน โดย ฝูเชิง

บทที่ บทที่ 401 ด่าประณาม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายประวัติศาสตร์ ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ฝูเชิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

การแพทย์แผนปัจจุบันค้นคว้าวิจัยจนได้รับคำตอบยืนยันที่แน่ชัดแล้ว ว่าถั่วหมักมีผลดีต่อหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะคนที่เป็นอัมพฤกษ์อย่างตาแก่เฉิน แปดในสิบส่วนเป็นเพราะความโกรธโจมตีเข้าสู่หัวใจ ส่งผลให้ความดันเลือดพุ่งสูงเกินอัตรา ซึ่งทำให้เกิดอาการเส้นเลือดอุดตัน เมื่อระบบไหลเวียนเลือดติดขัด ก็จะนำไปสู่อัมพฤกษ์

ซึ่งพอดีว่าถั่วหมักสามารถละลายลิ่มเลือด ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้นได้

พอดีว่าปีที่แล้วได้รับถั่วเหลืองมาไม่น้อย ลู่ม่านจึงรีบไปเอาถั่วเหลืองออกมาทันที

ติดอยู่แค่ว่าสภาพอากาศตอนนี้จริง ๆ แล้วไม่เหมาะที่จะทำถั่วหมัก เหตุผลหลักก็คือไม่มีใยเชื้อเห็ดรา ลู่ม่านจึงต้องเรียกหรูเฟิงให้ไปที่หลังเขาด้วยกันรอบหนึ่ง

แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็นในเดือนสิบสอง แต่เพราะปีนี้ไม่มีหิมะตก อาจยังพอมีเฮาเฉ่า (ไม้วอร์มวูด) ที่ยังเติบโตอยู่บนภูเขาก็เป็นได้

ทั้งสองเดินกันตลอดบ่าย สุดท้ายก็นับว่ายังโชคดีที่ได้เจอเฮาเฉ่าจำนวนหนึ่งในส่วนลึกของภูเขา ทั้งคู่จึงตัดกลับไปชนิดไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่นิดเดียว ส่วนวิธีทำก็ยังคงใช้วิธีการเดียวกันกับการทำซีอิ๊วก่อนหน้านี้ ลู่ม่านเริ่มจากการต้มถั่วเหลืองให้สุกก่อน จากนั้นค่อยเริ่มปิดคลุมไว้

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ใช้เวลาประมาณสิบวันก็จะเห็นใยเชื้อเห็ดราเติบโตออกมาแล้ว

เพื่อรักษาอุณหภูมิให้แม่นยำ ลู่ม่านยังจงใจใส่เจ้าสิ่งนั้นลงไปในเตา โชคดีที่ในครัวนั้นยังมีช่องวางของเล็ก ๆ แห่งหนึ่งสำหรับวางพวกข้าว แป้ง เมล็ดพืช และน้ำมัน ลู่ม่านพาหรูเฟิงกับหรูอวี่มาช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดจนเรียบร้อย ก่อนจะใส่ข้าวของทั้งหลายนั้นลงไป

จากนั้นก็สั่งหรูอวี่อีกครั้งว่า "นับจากนี้ไป ทางที่ดีเจ้าควรมาเผาถ่านเติมใส่มุมนี้ทุกวัน เพื่อช่วยเพิ่มระดับอุณหภูมิ

หรูอวี่จดจำไว้อย่างดี ลู่ม่านจึงไปพักผ่อน

ในคืนแรก เฉินจื่ออานไม่ได้กลับมา เขาไปเฝ้าตาแก่เฉินที่บ้านหลังเก่าตลอด สองคนพ่อลูกนั่งมองหน้าประสานสายตากันทั้งคืน

วันรุ่งขึ้นตอนที่ลู่ม่านรีบร้อนไปที่นั่น หมอก็มาอีกครั้งแล้ว เฉินสือซ่วนยืนอยู่ที่ริมกำแพงรั้วนอกประตูพลางเช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ

“เป็นอะไรไปรึ?” ลู่ม่านก้าวขึ้นไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยถาม

“น้าสาม!” เฉินสือซ่วนพูดพลางร้องไห้โฮ “ทำไมจู่ ๆ ปู่ของข้าถึงได้ป่วยหนักขนาดนี้ล่ะ? แล้วข้าควรทำอย่างไรดี?”

“ไม่ต้องกังวลไป อาสามของเจ้าก็อยู่ไม่ใช่หรือ? ท่านหมอก็มาแล้ว ปู่ของเจ้าต้องหายดีแน่นอน”

เฉินสือซ่วนพยักหน้า แต่น้ำตาที่มุมหางตาของเขายังคงรินไหลลงมาไม่หยุด ช่างสมกับเป็นเด็กคนหนึ่งจริง ๆ

ลู่ม่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ตอนนี้ปู่ของเจ้าล้มป่วย ข้ากับอาสามของเจ้าล้วนมาอยู่ที่บ้านเก่าทางนี้ ส่วนบ้านข้าทางนั้น พ่อของเจ้าก็คงต้องพึ่งพาเจ้าเท่านั้นแล้ว เจ้าต้องดูแลพ่อของเจ้าให้ดีล่ะ...."

“ข้าจะดูแลเองขอรับ!” เฉินสือซ่วนเช็ดน้ำตา ยืดแผ่นหลังขึ้นตรงแล้วมุ่งหน้าไปทางบ้านของลู่ม่าน

จากนั้นลู่ม่านค่อยสาวเท้าเดินเข้าไปในโถงหลักของบ้านตาแก่เฉิน ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้เฉินหลี่ซื่อก็ไม่ได้กลับมานอน จึงกลายเป็นว่าในห้องตอนนี้ เหลือนางอยู่เพียงคนเดียว

เฉินหลิ่วเอ๋อยังคงมองไม่เห็น นางยังนั่งอยู่ที่นั่นเหมือนเมื่อวาน ใบหน้าไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยน

หลังจากที่หมอฝังเข็มให้เสร็จ ก็กลับไปอีกครั้ง

เฉินจื่ออานก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วถามว่า “ท่านหมอ อาการของพ่อข้าเป็นอย่างไรบ้าง? อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

ท่านหมอเม้มปาก “โรคนี้น่ะ ปกติแล้วการฟื้นตัวจะช้ามาก มันจะดีขึ้นภายในระยะเวลาชั่วข้ามคืนได้ที่ไหนกัน? แต่เรื่องที่อาการจะทรุดลงคงยังไม่มี อย่างไรคนในบ้านก็ยังต้องดูแลเอาใจใส่ให้มาก ๆ พยายามยื้อไว้ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ในอนาคต”

เฉินจื่ออานพยักหน้ารับ หันไปสั่งให้หรูเฟิงออกไปส่งท่านหมอ

เฉินหลี่ซื่อเห็นดังนั้น ก็ออกไปด้วยอีกคน

ลู่ม่านก้าวขึ้นไปข้างหน้า มองเฉินจื่ออานแวบหนึ่ง แค่ไม่ได้เห็นเขาคืนเดียว เฉินจื่ออานกลับดูซีดเซียวอิดโรยลงไปมาก ดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้เขาก็คงจะไม่ได้นอนอีกแล้วแน่ ๆ!

ลู่ม่านพูดขึ้นว่า "เดี๋ยวข้าอยู่ดูแลพ่อที่นี่เอง เจ้ากลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ!"

เฉินสือซ่วนตกใจจนผงะ หันไปมองลู่ม่านอย่างไม่เชื่อสายตา “น้าสาม แต่พ่อข้า....”

“เขาจนโตขนาดนั้นแล้ว หรือเรื่องแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก? เจ้าปล่อยเขาซะ ข้ากลับอยากเห็นจริง ๆ ว่าเขาจะเตรียมตัวไปตายอย่างไร? เพื่อลูกเลยไม่อยากมีชีวิตอยู่ แล้วพ่อของเจ้าล่ะ? เจ้าเคยคิดถึงบ้างหรือไม่?"

"พ่อของข้า... พ่อของข้าไม่ใช่ว่ายังมีเจ้าสาม...."

“เขามีลูกชายตั้งมากมายขนาดนั้น ทำไมถึงต้องพึ่งพาแต่เจ้าสามคนเดียว? เจ้าไม่สงสารพี่น้องของเจ้า แต่ข้าสงสาร เจ้ามีฐานะเป็นพี่ชายคนโต เดิมทีควรจะรับหน้าที่ดูแลครอบครัวแท้ ๆ แต่เจ้ากลับผลักภาระทุกอย่างไปให้คนอื่น พี่รองก็เหมือนกัน เอาแต่ออกไปวิ่งพล่านอยู่ข้างนอก ทำให้พ่อโกรธจนเป็นอัมพฤกษ์ เจ้าสี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย พ่อถึงกับต้องตัดใจคิดว่าไม่มีลูกชายคนนี้อยู่อีกต่อไปแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนนี่มันช่างดีเหลือเกินนะ! อยากทำอะไรก็ทำไปเท่าที่ใจอยากเลย! แต่ถ้าอยากตาย ก็ออกไปตายที่อื่น อย่ามาตายในบ้านข้า!"

ลู่ม่านโกรธแทบตายแล้วจริง ๆ จึงพูดทุกอย่างออกไปตามใจคิดชนิดไม่มียั้งปาก แต่เมื่อได้พูดออกไปแล้ว นางก็ไม่รู้สึกเสียใจภายหลังเลยสักนิด

เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สมควรพูดอยู่แล้ว ต่อให้มันไม่เหมาะสมนางก็พร้อมยอมรับ!

เฉินจื่อฉายถึงกับตกตะลึงพรึงเพริศไปอย่างสมบูรณ์ “น้องสะใภ้สาม เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ? เจ้าบอกว่าพ่อเป็นอัมพฤกษ์อย่างนั้นรึ?”

ลู่ม่านแค่นเสียงในลำคอขึ้นมาเสียงหนึ่ง “เจ้ายังรู้จักใส่ใจด้วยรึ? ไม่ใช่ว่าอยากตายอยู่หรือไร?”

เฉินจื่อฉายหันไปถามเฉินสือซ่วนอีกครั้งว่า "สือซ่วน เจ้าบอกพ่อมาซิ ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?"

เฉินสือซ่วนพลันร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น "ตอนนี้ปู่ต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่แต่บนเตียงขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้แล้ว! ทั้งยังพูดไม่ได้แล้วด้วย ไม่สามารถสอนสั่งให้ข้ารู้จักเหตุรู้จักผลได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว!"

“แล้วทำไมเจ้าไม่บอกพ่อล่ะ?” เฉินจื่อฉายตะโกนลั่น ฝืนตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว "พ่อ……"

“เจ้าคิดจะไปทั้งสภาพนี้น่ะรึ?” ลู่ม่านเรียกให้เขาหยุด “ อาการของพ่อตอนนี้ เจ้าคิดหรือว่าเขายังจะทนรับแรงกระตุ้นอะไรได้อีก? ที่ข้าบอกเจ้าเพราะหวังแค่ว่าเจ้าจะรู้จักทำหน้าที่ของลูกคนหนึ่ง ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ได้บอกให้เจ้ายิ่งไปเพิ่มภาระให้เขา!”

เฉินจื่อฉายจึงหยุดชะงัก ก่อนจะไปหยิบเสื้อผ้าที่ลู่ม่านสั่งให้คนนำมาให้เขาตั้งแต่เมื่อเช้าออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน