ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 420

สรุปบท บทที่ 420 เลี้ยวลดคดเคี้ยว: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน

บทที่ 420 เลี้ยวลดคดเคี้ยว – ตอนที่ต้องอ่านของ ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน

ตอนนี้ของ ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน โดย ฝูเชิง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายประวัติศาสตร์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 420 เลี้ยวลดคดเคี้ยว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

นักเรียนคนอื่น ๆ ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่นักเรียนสี่คนที่ถูกลากเข้าไปพัวพันด้วย กลับตกใจจนหน้าถอดสี

มีสามคนที่กู่ร้องก้องตะโกนไม่หยุดว่า “นี่มันโยนความผิดกันชัด ๆ! พวกเราถูกโยนความผิด!”

หนึ่งในนั้นจู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นมาแบบกะทันหัน ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ใต้เท้า ข้ามีเรื่องจะพูด”

บังเอิญว่าเป็นคนที่ลู่ม่านกล่าวถึงคนนั้นพอดี จวงลี่จ้งเม้มปากน้อย ๆ แล้วโบกมือส่งสัญญาณไปให้เจ้าหน้าที่สามสี่นายที่เตรียมจะเข้าไปจับคน "เจ้ายังมีอะไรที่อยากจะพูดอีก?"

“ใต้เท้า ข้าอาจจะเห็นแผ่นโพยคำตอบของเฉินจื่ออานขอรับ”

“อาจจะเห็น?” จวงลี่จ้งขมวดคิ้วทันที “ถ้าเห็นก็คือเห็น ถ้าไม่เห็นก็คือไม่เห็น ทำไมถึงต้องอาจจะเห็นด้วยล่ะ?”

ระหว่างที่พูดไปพลาง จวงลี่จ้งก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงหน้าคนผู้นั้น แล้วเดินวนสำรวจไปรอบ ๆ ตัวเขารอบหนึ่ง

ลู่ม่านก็เดินตามหลังมาด้วย ในตอนที่จวงลี่จ้งหยุดลงนั่นเอง ลู่ม่านก็ดึง ๆ ชายเสื้อของจวงลี่จ้ง

“จริง ๆ นะขอรับคุณชาย ข้าอยู่ด้านขวามือของเฉินจื่ออานตลอด เมื่อครู่ระหว่างที่ข้ารวบรวมสมาธิอยู่ พอดีว่าเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นเฉินจื่ออานแอบล้วงเอาแผ่นกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เดิมทีข้ายังคิดอยู่ว่านั่นเป็นมุมหนึ่งของกระดาษข้อสอบของเขา แต่ตอนนี้พอได้ยินทุกคนพูดถึง ค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเหมือนที่ตรงมุมกระดาษแผ่นนั้นจะมีรอยตำหนิสีแดงอยู่ด้วย นั่นต้องไม่ใช่กระดาษข้อสอบแน่ แต่เป็นโพยคำตอบ!"

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ในเมื่อข้านึกออกแล้ว ข้าย่อมไม่อาจปล่อยปละละเลยให้คนขี้โกงลอยนวลไปได้ นั่นเป็นการทำให้บัณฑิตผู้มีเกียรติในอำเภอเฟิงหนานของเราต้องอับอายขายหน้า!”

สุดท้าย ก็ยังไม่ลืมชื่นชมตัวเองด้วยอีกหนึ่งคำรบ

คนผู้นี้ ช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริง ๆ

จวงลี่จ้งพยักหน้า "ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญใต้เท้านำแผ่นโพยคำตอบนั้นออกมา แล้วตรวจสอบดูสักหน่อยว่า มีรอยตำหนิสีแดงบนกระดาษตามที่เขาพูดไว้เมื่อครู่หรือไม่?"

ซวนเหวินลี่พยักหน้า รีบนำโพยคำตอบแผ่นนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว

จวงลี่จ้งกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ผลคือเห็นว่าที่ด้านหลังของกระดาษโพยแผ่นนั้น มีรอยตำหนิสีแดงอยู่จริง ๆ "ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!"

ซวนเหวินลี่รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าหน้าที่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ จงรีบคุมตัวเฉินจื่ออานไปขังไว้เดี๋ยวนี้!”

“ไม่ ข้าคิดว่าคนที่สมควรถูกนำตัวไปขังคือเขาต่างหาก !” จู่ ๆ จวงลี่จ้งก็ผุดลุกขึ้นยืน แล้วชี้นิ้วตรงไปยังผู้เข้าสอบคนที่รายงานความผิดของเฉินจื่ออานเมื่อครู่

สีหน้าของชายผู้นั้นเปลี่ยนไปอย่างหนัก “คุณชาย นี่ท่านชี้ตัวคนผิดแล้วหรือไม่? ข้าคือคนที่รายงานความผิดของเฉินจื่ออานเมื่อครู่นี้นะ”

“ไม่ผิดหรอก เป็นเจ้านั่นล่ะ!”

ซวนเหวินลี่ตะลึงงัน “คุณชายจวง นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

จวงลี่จ้งยกยิ้มเล็กน้อย "ทุกคนไม่ได้สังเกตเลยหรือ? ว่าเมื่อครู่พวกเราพูดถึงแค่โพยคำตอบเท่านั้น แต่ไม่มีใครที่พูดถึงลักษณะพิเศษของโพยแผ่นนั้นเลย ทำไมชายคนนี้แค่เอ่ยปากก็พูดได้ถูกต้องแม่นยำขนาดนั้นล่ะ?"

“นั่นเป็นเพราะเขาได้เห็นลักษณะของโพยแผ่นนั้น เมื่อครู่เขาก็พูดไปแล้วนี่!”ซวนเหวินลี่พูด

“โอ้!” จวงลี่จ้งพยักหน้า

คนที่รายงานความผิดคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว แต่คิดไม่ถึงว่า จู่ ๆ จวงลี่จ้งกลับคว้าข้อมือของเขาไว้แน่น “นี่คืออะไรน่ะ?”

ชายคนนั้นสะดุ้งตกใจ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้สังเกตหรอกว่าในมือของตัวเองมีอะไรอยู่ ทันทีที่ถูกจวงลี่จ้งพูดแบบนั้นใส่ ก็ตกใจจนตาค้างไปเลย

เขายื้อยุดสุดกำลังเพราะอยากจะเห็นว่าสิ่งที่อยู่บนนิ้วมันคืออะไร แต่จวงลี่จ้งกลับจับมือเขาเอาไว้แน่น ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

อีกด้านหนึ่ง จวงลี่จ้งยังคงพูดจาเหมือนกับว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โตไม่หยุด "เป็นชาดสีแดง เหมือนกับชาดที่เป็นรอยตำหนิที่อยู่ด้านหลังของโพยแผ่นนั้นไม่มีผิด!"จากนั้น เขาก็หันไปสั่งเฉินจื่ออานว่า "แบมือของเจ้าออกมาให้ข้าดูหน่อยซิ"

เฉินจื่ออานให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แบมือออกมาให้เขาดู พบว่ามือทั้งสองข้างล้วนสะอาดสะอ้าน ไม่มีอะไรติดอยู่เลย

เจ้าหน้าที่ดูแลการสอบที่อยู่ในตำแหน่งถัดจากซวนเหวินลี่ ซึ่งได้แต่เงียบกริบไม่พูดอะไรมาโดยตลอดคนนั้น กลับขมวดคิ้วขึ้นมา "ใต้เท้าซวน เมื่อครู่นี้คนที่กล่าวฟ้องคนนั้นพูดว่า..... "

“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ได้ทำ นั่นเป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสีเท่านั้น” ซวนเหวินลี่พูดเสียงดัง

ติดอยู่ที่ว่า น้ำเสียงที่พูดดูร้อนรนจนเกินไป พอฟังดูแล้วยิ่งน่าสงสัยว่าเหมือนคนทำผิดแล้วร้อนตัวเลยพยายามจะปกปิดเสียมากกว่า

“จะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีหรือไม่ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของใต้เท้าคนเดียวแล้วล่ะ ไม่สู้ใต้เท้ารอให้มีการรายงานไปยังราชสำนักก่อน เมื่อตรวจสอบทุกอย่างได้กระจ่างชัดแล้ว ค่อยทำการตัดสินคดีเถอะ!”

แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ดูแลการสอบคนนั้น ย่อมเป็นคนที่ฝ่าบาททรงจัดสรรมาด้วยองค์เอง ไม่ใช่คนที่ใครจะควบคุมได้ ครั้งนี้ซวนเหวินลี่ถึงกับเซ่อของจริงแล้ว เขาหวาดวิตกจนหน้าซีด เดิมทีเขามาที่ตำบลชางผิง ก็เพื่อมาจัดการกับทุกสิ่งที่เฉินจื่ออานได้รับไปจากในโรงงานตระกูลเฉิน

มาจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะประมือกันกี่ครั้ง เขาก็พ่ายแพ้ตลอด ครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มแรก เจ้านายที่คอยหนุนหลังเขาคนนั้นก็พูดเอาไว้แล้วว่า ถ้าครั้งนี้ยังทำไม่สำเร็จอีก นับจากนี้ตนเองก็จะไม่ใช่คนของเขาอีกต่อไปแล้ว

เดิมทียังมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่มีข้อผิดผลาดแน่แล้ว ครั้งนี้จะต้องโค่นเฉินจื่ออานให้ล้มคว่ำได้แน่ ขอแค่เฉินจื่ออานสูญเสียโอกาสในการเข้ารับตำแหน่งขุนนาง ในอนาคตหลังจากนี้ จะไม่เท่ากับว่าอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนมดที่จะบีบให้ตายง่าย ๆ เมื่อไหร่ก็ได้แล้วหรอกหรือ?

แต่สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ล้วนคาดเดาได้ยาก เขาถึงกับล้มเหลวอีกแล้ว

เจ้านายไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผยเดี๋ยวนี้แล้วไม่ใช่หรือ? นี่เป็นความผิดร้ายแรงระดับประหารเก้าชั่วโคตรเชียวนะ!

“ท่านใต้เท้าผู้ดูแล…...” ซวนเหวินลี่ยังคิดจะอ้อนวอน แต่ใต้เท้าผู้ดูแลได้ยืนขึ้นแล้ว ซวนเหวินลี่หลับตาแน่น ครั้งนี้เขาจบเห่จริง ๆ แล้วสินะ?

ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ทั้งมั่นคงและทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา “ใต้เท้า ขอข้าพูดอะไรสักหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ?”

ใต้เท้าผู้ดูแลได้ยินดังนั้น ก็หันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง จึงพบว่าคนที่พูดอยู่ก็คือตัวละครหลักที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีในวันนี้ เฉินจื่ออาน

เมื่อครู่นี้หลังจากที่เฉินจื่ออานถูกใส่ร้ายป้ายสี ตั้งแต่ต้นจนจบ เขายังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไม่หวั่นไหวเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับใต้เท้าผู้ดูแลคนนั้นอย่างมาก ดังนั้นในเวลานี้ สีหน้าของเขาจึงอ่อนลงถึงสองส่วน “เจ้าพูดมาเถอะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน